ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กินผักผลไม้ ให้เป็นยา




ผักผลไม้


กินให้เป็นยา (Modern Mom)
โดย: คุณนายปลายจวัก

ห่างจากยาที่เป็นสารเคมีได้ ก็ด้วยผักผลไม้ที่เราสามารถกินเป็นยานี่เอง

 หน่อไม้ฝรั่ง (แอสพารากัส) 

ผักที่มีหน้าตาแปลกเฉพาะตัว ลักษณะเป็นหน่อสีเขียวหรือสีขาว สีขาวนิยมรับประทานสด ๆ ส่วนสีเขียวนิยมนำไปประกอบอาหาร สามารถเก็บกินได้ตลอดทั้งปี หาซื้อได้ง่าย กรอบอร่อย นำไปทำทำอาหารได้หลากหลาย

 กินเป็นยา : ในหน่อไม้ฝรั่งมีโฟเลตอยู่มาก มีความจำเป็นต่อความสมบูรณ์ของทารกสำหรับคุณแม่ครรภ์ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ปอดได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของกำมะถันเป็นยาขับปัสสาวะได้ดีตัวหนึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่เป็นโรคขัดเบา และยังใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น โรคเส้นประสาทอักเสบ โรครูมาติซึม และบรรเทาอาการปวดฟันได้ด้วย

 อะโวคาโด

ผลไม้จากถิ่นอเมริกา เม็กซิโก กัวเตมาลา และหมู่เกาะเวสอินดีส ที่หาได้ง่ายในบ้านเรา แต่ไม่ค่อยนิยมกินกันมากนัก เนื่องจากมีรสชาติและกลิ่นสู้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ไม่ได้ แต่ประโยชน์ของอะโวคาโดนั้น เรียกว่ามากมายจนต้องหันกลับมารักกันเลยทีเดียว

 กินเป็นยา : มีวิตามินบีที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันไข้หวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และโดยเฉพาะวิตามินอีซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทาง อากาศ น้ำ และอาหาร สามารถป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ และนอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งอีกด้วย

บร็อกโคลี่

 บร็อกโคลี่

รสชาติหวาน กรอบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด และอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย

 กินเป็นยา : บร็อกโคลี่มีสารเบต้า-แคโรทีน ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายและยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรง มีสารซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารป้องกันโรคมะเร็ง และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคอัลไซเมอร์ได้ดี

 กะหล่ำปลี

ผักรูปร่างกลมที่เกิดจากใบที่อัดแน่นจนมีลักษณะเป็นหัวน่ากิน สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย หรือจะกินดิบ ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะสีเขียว สีขาว หรือสีม่วง ก็มีประโยชน์มากมายทั้งสิ้น

 กินเป็นยา : มีสารพิเศษเอสเมธิลเมโธโอนินที่สามารถรักษาโรคกะเพาะอาหาร และมีสารกอยโตรเจนที่ช่วยให้ร่างกายทำไอโอดีนไปใช้ช่วยป้องกันโรคคอหอยพอก นอกจากนั้นยังมีสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้

 เกรปฟรุต

เติบโตอยู่ในผลไม้กระกูลส้ม เป็นญาติสนิทของส้มโอ แต่เนื้อของเกรปฟรุตมีสีแดง รสชาติอมเปรี้ยวนิด ๆ เหมาะสำหรับกินลังมื้อเช้าจะช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนไปทำงานได้ดี

 กินเป็นยา : สารเพกตินที่มีอยู่ในเกรปฟรุต ซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนไปขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้สารพิษหรือโลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย และยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน

กีวี

 กีวี

เป็นผลไม้ประเภทไม้เลื้อยเถา นิยมปลูกมากในประเทศนิวซีแลนด์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีถิ่นกำเนิดมาจาก ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ในประเทศไทยมีการปลูกมากในจังหวัดเชียงใหม่ ผลมีผิวสีน้ำตาล มีขน เนื้อสีเขียว รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม แถมยังมีวิตามินซีสูงอีกด้วย

 กินเป็นยา : กีวีมีค่าดัชนี ไขมัน และแคลอรีในระดับต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวานเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนักหรือมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว วิตมินซีในกีวียังช่วยให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร ความอึดอัดในช่องท้อง ท้องผูก และเกิดความล่าช้าในการส่งถ่าย

 ส้ม

ผลไม้ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันดี มีให้เลือกมากมายหลายสายพันธุ์ รสชาติหวานอร่อย กินง่าย ทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องของวิตามินซี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โพแทสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก และเบต้าแคโรทีน

 กินเป็นยา : ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายให้แผลหายเร็วขึ้น วิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

 พีช

คือชื่อเรียกตามภาษาอังกฤษ แต่บางคนอาจจะรู้จักมักจี่กันในชื่อจีนคือลูกท้อ มีสีเหลืองอมส้ม รสชาติหอมหวาน

 กินเป็นยา : ในพีชมีวิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าคริบโตแซนทิน ป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลาย บำรุงหัวใจและกระเพาะอาหาร ยังมีเกลือแร่โรบอนที่เป็นตัวช่วยให้สมองของเรากระฉับกระเฉงและกระปรี้กระเปร่า มีพลังค่ะ

มะเขือเทศ

 มะเขือเทศ

ผักสีแดงสด ที่มีประโยชน์มากกว่านำมามาส์กผิวหน้า สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบหรือแต่งเติมให้มื้ออาหารมีสีสันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังนำมาคั้นเป็นน้ำมะเขือเทศดื่ม หรือทำเป็นซอสมาปรุงรส อาหารก็ได้

 กินเป็นยา : ไลโคปีนเป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ เป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งคอหอย มะเร็งช่องปาก มะเร็งเต้านม เป็นต้น

 แอปเปิ้ล

ผลไม้ที่มีรสชาติหอมหวาน มีให้เลือกกินถึง 4 สี คือสีแดง สีเขียว สีเหลือง และสีชมพู สามารถกินได้ทั้งเปลือก ซึ่งประโยชน์ของแอปเปิ้ลนั้นไม่ได้มีแต่ในเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ในเปลือกก็มีประโยชน์มากมายเช่นกัน

 กินเป็นยา : ในเปลือกแอปเปิ้ลมีสารฟลาโนอยด์สูงมาก ซึ่งมีหน้าที่ในการล้างพิษออกจากร่างกาย และยังช่วยป้องกันอนูมูลอิสระอีกด้วย ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้

 องุ่น

เป็นผลของไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ผลมีรสหวานกินง่าย ในบ้านเรานิยมปลูกอยู่ 2 สายพันธุ์ ก็คือ พันธุ์ไวท์มะละกา ผลกลมมีสีเหลืองอมเขียวและผลยาว รสหวานแหลม และ พันธุ์คาร์ดินัล ผลกลมค่อนข้างใหญ่ มีสีแดงหรือม่วงชมพู รสหวาน กรอบ เปลือกบาง

 กินเป็นยา : องุ่นมีสารอาหารที่สำคัญที่ดีคือน้ำตาลและสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี เหล็กและแคลเซียม มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ และช่วยฟื้นกำลังคนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรง

หัวหอมใหญ่

 หัวหอมใหญ่

พืชสวนครัวที่แค่ได้ยินชื่อน้ำตาก็ไหลแล้ว เพราะสารประกอบของซัลเฟอร์หรือกำมะถัน ที่จะกระจายออกมาในอากาศเมื่อเราหั่นหัวหอม ทำให้ระคายเคืองตาจนร่างกายต้องผลิตน้ำตาเพื่อชะล้างออก แต่ถึงกระนั้นหัวหอมใหญ่ก็เป็นที่นิยมนำมากระกอบอาหารได้หลากหลายเมนู

 กินเป็นยา : หัวหอมใหญ่ช่วย ลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือด และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ที่ช่วยลดการอุดตันไขมันในเส้นเลือด และทำหน้าที่ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน นอกจากนี้สารกำมะถันในหอมใหญ่ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และยังมีฤทธิ์ป้องกันโรคภูมิแพ้และหอบหืดอีกด้วย

 ถั่วเหลือง

เมล็ดพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งสะสมของไขมันและโปรตีนที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถั่วเหลืองมีมากมายหลายขนาดหลากหลายสีทั้งสีน้ำตาล สีฟ้า รวมถึงสีดำก็มี สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย หมัก เช่น น้ำนมถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วงอก ซอสถั่วเหลือง เต้าเจี้ยว เป็นต้น

 กินเป็นยา : ถูกกล่าวขานว่าเป็น "ราชาแห่งถั่ว" เพราะมีโปรตีน เลซิทิน และกรดแอมิโน รวมทั้งมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ไนอะซิน วิตามินบี1 และบี2 วิตามินเอและอี ซึ่งสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก และบำรุงระบบประสาทในสมอง หากกินเป็นประจำช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน

 แอปริคอท

ผลมีสีส้มสวยสด ทำให้แอปริคอทได้ครองตำแหน่งนางงามในบรรดาผลไม้ ยิ่งสุกงอมเมื่อไหร่จะมีรสชาติหวานอร่อยกำลังดี แต่ถ้าผ่านกระบวนการความร้อนจนสุกได้ที่รสชาติก็จะเปลี่ยนจากหวานเป็นเปรี้ยวทันที ผู้ที่นินมนำแอปริคอทไปทำอาหารหรือทำเบเกอรี่จะรู้ดีว่าจะต้องใส่น้ำตาลให้มากกว่าเดิมเพื่อดับความเปรี้ยว ดังนั้นจึงควรระวังในเรื่องของความหวานด้วย

 กินเป็นยา : แอปริคอตเป็นยาบำรุง ที่ช่วยให้ฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้เร็ว สารเบต้าแคโรทีนในแอปริคอตจะช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตาจึงช่วยในการมองเห็นได้ดีขึ้น และสามารถป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และวิตามินเอช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ทั้งยังช่วยในการย่อยอาหาร ต้านโรคหวัด ภาวะโลหิตจาง หากรับประทานแอปริคอตได้ในปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยรักษาปฏิกิริยาจากสารก่อภูมิแพ้รวมทั้งอาการอ่อนเพลียได้

มะละกอ

 มะละกอ

มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ สามารถกินได้ทั้งสุกและดิบ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด

 กินเป็นยา : ผลมะละกอดิบมีวิตามินเอ และสารเบต้าเคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและช่วยต้านโรคมะเร็ง และมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินซี ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคมะเร็ง โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์พาเพน ซึ่งสามารถนำมาเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดอีกด้วย

 ลูกพรุน

ที่จริงแล้วก็คือลูกพลัม หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า ลูกไหน เมื่อนำมาตากแห้งก็จะเรียกในชื่อใหม่ว่าลูกพรุนนั่นเอง ซึ่งรู้จักในสรรพคุณเรื่องของกากใย

 กินเป็นยา : ในลูกพรุนมีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลและปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก ช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

ฟักทอง

 ฟักทอง

จัดอยู่จำพวกผัก แต่ก็นิยมนำมาใช้ทำขนมหวาน ผิวตอนที่ยังเป็นผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง

 กินเป็นยา : ในฟักทองมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและและมีกรดโปรไพโอนิค กรดนี้ทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี โดยเตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมง

 แตงโม

ผลไม้เนื้อฉ่ำน้ำ รสหวาน มีทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางพันธุ์มีลวดลายบนเปลือก แบ่งออกได้หลายพันธุ์ เช่น แตงโมจินตหรา ผลยาว เปลือกเขียวเข้ม มีลาย เนื้อสีแดง แตงโมตอร์ปิโด ลูกรีกว่าพันธุ์จินตหรา แตงโมกินรี ผลกลม เนื้อแดง แตงโมน้ำผึ้ง ผลกลม เนื้อเหลือง แตงโมไดอานา เปลือกเหลือง เนื้อสีแดง แตงโมจิ๋ว ผลขนาดเท่ากำปั้น เนื้อเหลือง เป็นต้น นิยมกินเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้

 กินเป็นยา : แตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น ช่วยให้อารมณ์ดี เพราะมีโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต ยังมีสารไลโคปีน ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยบำรุงหัวใจ รวมถึงป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้จะช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปาก

นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ จริง ๆ แล้วผักผลไม้ที่อยู่รอบตัวเรามีประโยชน์หลายหลากทั้งนั้น ที่สำคัญคือต้องกินให้ถูกต้อง สม่ำเสมอ และต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ


ที่มา : http://health.kapook.com/view42079.html

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สานฝัน สายสายใยแห่งคุณค่า ด้วยรอยยิ้มเป็นสุข




GTV สถานีโทรทัศน์ อเมริกา แคนาดา ไทย ลาว 
Good Idea TV, USA 
สนใจผลิตภัณฑ์ Kuu Ne คูเน่ นวัตกรรมผงปรุงครบรส หอมหัวใหญ่ เพื่อสุขภาพ ...... โอกาสดีๆ เกี่ยวกับ โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว เข้าใกล้ทุกคนแล้ว จากนวัตกรรมคนไทย ก้าวไกลสู่สากล...


www.ptpfoods.com, www.facebook.com/kuune

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


เจาะลึกมิติการตลาด ให้รู้ ให้คิด ให้เดินไปหาจุดหมาย 
บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด  ขอขอบพระคุณ คณาจารย์
ที่ปรึกษา ที่ได้ให้คำชี้แนะผลักดัน ให้เราเข้าสู่เป้าหมายได้เป็นอย่างดี


เสริมต่อแนวคิดต่อยอดมุมองจากกูรู เศรษฐศาสตร์ และการตลาดชั้นนำของไทย
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์

ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นใน สิบแปดปีข้างหน้า


ผู้ป่วยมะเร็งทุกประเภทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลกในอีกสิบแปดปีข้างหน้า

สำนักงาน IARC คาดการณ์ว่าจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งทุกชนิดเพิ่มขึ้นทั่วโลกเพราะวิถีชีวิตคนในประเทศกำลังพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปคล้ายคลึงกับคนในชาติตะวันตกมากขึ้น

ามรายงานของ IARC ดังกล่าว จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งทุกประเภทรายใหม่จะเพิ่มขึ้นจากสิบสองล้านเจ็ดแสนรายในปีพุทธศักราช 2551 เป็น ยี่สิบสองล้านสองแสนรายในปีพุทธศักราช 2573 การคำนวณนี้ตั้งอยู่บนการวิเคราะห์ของ IARC ถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆทางด้านสังคมและเศรษฐกิจใน 184 ประเทศทั่วโลก 
 
ทางสำนักงาน IARC ได้วิเคราะห์การเกิดโรคมะเร็งเก้าประเภทที่พบบ่อยที่สุด รวมทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอดและมะเร็งลำใส้ใหญ่ และได้สรุปว่าการลดลงของการเกิดมะเร็งที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อในประเทศรายได้ปานกลาง อาทิ มะเร็งปากมดลูก กับ มะเร็งกระเพาะอาหาร จะไปหักลบกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งชนิดอื่นที่จะเพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำใส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่ประเทศรายได้ปานกลางเหล่านี้พัฒนามากขึ้นทางเศรษฐกิจและสังคม
 
นาย Ted Trimble ผู้อำนวยการ Center for Global Health แห่งสถาบัน U.S. National Cancer Institute กล่าวว่าผลการวิเคราะห์ของสำนักงาน IARC นี้ไม่สร้างความแปลกใจ เพราะคนในประเทศรายได้ปานปลางเหล่านี้บริโภคอาหารที่มีไขมันมากขึ้น
 
เขากล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอที่กรุงวอชิงตันว่าเริ่มเห็นกระเเสการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพนี้บ้างแล้วเพราะเมื่อคนในประเทศกำลังพัฒนาเริ่มมีวิถีชีวิตและการบริโภคที่เปลี่ยนไปเหมือนกับชาติตะวันตกมากขึ้น พวกเขาจะป่วยกันมากขึ้นด้วยโรคมะเร็งชนิดเดียวกับชนิดที่กำลังคุกคามชีวิตคนในประเทศตะวันตก
 
Trimble กล่าวว่าในชาติต่างๆทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าในอาฟริกา จำเป็นต้องใช้วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่นำไปสู่โรคมะเร็งต่างๆรวมทั้งมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV และเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับ
 
เขาบอกว่าเป็นเวลาร่วมสามสิบปีแล้ว ที่วงการแพทย์ใช้วัคซีนที่มีคุณภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสในตับชนิดบี ที่เป็นสาเหตุให้คนจำนวนมากป่วยด้วยมะเร็งตับทั่วโลก วัคซีนตัวนี้มีราคาถูกมาก ตกที่เข็มละยี่สิบห้าถึงห้าสิบเซ็นท์สหรัฐ หรือประมาณเจ็ดบาทห้าสิบสตางค์ถึงสิบห้าบาทเท่านั้น
 
นาย Ted Trimble ผู้อำนวยการ Center for Global Health ในสหรัฐ กล่าวอีกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจำเป็นต้องให้ความรู้แก่คนทั่วไปถึงสาเหตุของมะเร็งที่มีปัจจัยจากวิถีีชีวิต เขายกตัวอย่างว่าชายชาวจีนประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์สูบบุหรี่ อันเป็นสาเหตุเสี่ยงต่อมะเร็งปอด
 
อย่างไรก็ดี เขาเน้นว่า สิ่งที่สำคัญมาก คือ หน่วยงานด้านการสาธารณสุขและหน่วยงานพัฒนาเอกชนต่างๆในแต่ละประเทศร่วมมือกันปรับปรุงการเข้าถึงการวินิจฉัยโรคและการบำบัดโรคแต่เนิ่นๆของประชาชนทั่วไป
 
นาย Ted Trimble กล่าวว่า มะเร็งหลายๆชนิดเหล่านี้สามารถบบำบัดให้หายได้ด้วยผสมผสานระกว่างการผ่าตัดกับการฉายรังสีและการใช้ยา แต่หากขาดแคลนแพทย์และพยาบาลที่ได้รับการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ประชาชนก็จะไม่ได้รับการบำบัดโรคและเข้าไม่ถึงการรักษามะเร็งที่ได้ผล


ที่มา : VOA 19 JUL 2012



วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นักวิชาการโลกฟันธงแล้ว ชนิดอาหารก่อมะเร็ง: บริโภค 'แกงเลียง' 'แกงเหลือง' ต้านโรคได้




โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลกเป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน (World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช (American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก
ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุดถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ
ข้อสรุปลำดับแรก
เป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อนมีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก
สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการบริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกิน จะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้องปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหารที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการบริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่เบต้าแคโรทีนจะให้ผลต่อร่างกายสูงสุดเมื่อบริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท
ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที จนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูกนอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แม่ควรให้นมลูก และเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใดๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย
ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2
เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจน หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหาร พบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร
ลำดับที่ 3
ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศ ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศ แต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียด บริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้นๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง
ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒนธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทย ซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้
ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย
ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่
- น้ำพริกแกงป่า
- แกงเลียง
- แกงส้ม
- แกงเหลือง และ
- น้ำต้มยำ
นำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่า น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกายได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ
จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำ รับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่


เขียนโดย food4change
วันพฤหัสบดีที่ ๐๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๐:%น.



DISCLAIMER: The information contained in this e-mail may be confidential, proprietary, and/or legally privileged. It is intended only for the person or entity to which it is addressed. If you are not the intended recipient, you are not allowed to distribute, copy, review, retransmit, disseminate or use this e-mail or any part of it in any form whatsoever for any purpose. If you have received this e-mail in error, please immediately notify the sender and delete the original message. Please be aware that the contents of this e-mail may not be secure and should not be seen as forming a legally binding contract unless otherwise stated. Thank you. 


วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผู้บริโภคควรทำอย่างไรเพื่อจะหลีกเลี่ยงสารพิษเหล่านี้?



ผู้บริโภคควรทำอย่างไรเพื่อจะหลีกเลี่ยงสารพิษเหล่านี้?




ในประเทศไทยนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงไม่กินอาหารที่มีพิษตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่ก็มีขั้นตอนของการปฏิบัติที่เป็นไปได้ ที่จะลดปริมาณพิษตกค้างในอาหาร ตามคำแนะนำ 7 ข้อดังต่อไปนี้
  1. ซื้ออาหารที่ติดฉลาก “อาหารอินทรีย์” หรือ “อาหารปลอดภัยสารพิษ” ประเทศไทยปัจจุบันมีร้านที่ขายอาหารคุณภาพเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง ได้จัดแผนกสำหรับขายพืชผักอินทรีย์และพืชผักปลอดภัยจากสารพิษโดยเฉพาะ
  2. หลีกเลี่ยงที่จะไม่กินผักและผลไม้ที่มีรายงานว่ามีระดับของสารพิษตกค้างสูง ซึ่งรวมทั้งผลไม้นำเข้า เช่น สตรอเบอรี่ องุ่น และผัก เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว อ่านหนังสือพิมพ์และฟังวิทยุ เพื่อจะได้ทราบว่ามีการพบอาหารอะไรบ้างที่มีการปนเปื้อน
  3. หลีกเลี่ยงการซื้อและการรับประทานผักและผลไม้นอกฤดู มีเกษตรกรบางรายพยายามที่จะปลูกพืชผลเพื่อให้ได้ผลผลิตนอกฤดูกาล ซึ่งสามารถขายได้ราคาดี แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้สารเคมีเป็นจำนวนมากด้วย
  4. ใช้น้ำล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ก่อนนำไปปรุงและรับประทาน และถ้าหากคุณไม่รับประทานผักในวันที่ซื้อ ก็ให้ล้างเสียก่อนที่จะนำไปเก็บในตู้เย็น สารตกค้างบางชนิดจะอยู่บนผิวของผักและผลไม้ ที่อาจขจัดออกไปได้ด้วยการปลอกผิวออกหรือใช้แปรงปัดออกไป
  5. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว แทนการรับประทานดิบๆ การปรุงอาหารด้วยการหุงต้มนั้น จะช่วยลดปริมาณของสารกำจัดศัตรูพืช เพราะว่าความร้อนจะไปทำลายสารเคมีบางตัวได้
  6. มองหาป้ายสัญลักษณ์ “อาหารสะอาด รสชาติอร่อย” เมื่อออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ภัตตาคารและร้านอาหารที่มีป้ายนี้ ได้รับการตรวจสอบจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
  7. ระมัดระวังการใช้สารเคมีในห้องครัวของท่าน อย่าเก็บสารกำจัดศัตรูพืช (เช่น ไบกอน เรด) และอาหารเอาไว้ในตู้เดียวกัน อย่าใช้สารกำจัดศัตรูพืชดังกล่าวนี้ ใกล้กับอาหาร หรือในบริเวณพื้นที่ที่ใช้เตรียมอาหาร
นอกเหนือจากคำแนะนำข้างต้นแล้ว ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งยังหลีกเลี่ยงที่จะซื้อผลผลิตที่รูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม เพราะเชื่อว่าผักที่มีรอยจากการทำลายของแมลง เช่น มีรูที่ใบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีการฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชก่อนการเก็บเกี่ยว ความเชื่อนี้ก็มีความจริงอยู่บ้าง แต่เกษตรกรอินทรีย์ก็ผลิตผักที่มีลักษณะสวยงามได้เช่นกัน และเกษตรกรที่ใช้สารกำจัดศัตรูพืชอาจฉีดพ่นสารเคมีหลังจากที่ผักถูกทำลายด้วยศัตรูพืช ดังนั้นลักษณะภายนอกอย่างเดียวไม่สามารถระบุว่าผักปลอดภัย แต่ต้องคำนึงถึงชนิดของอาหาร แหล่งที่ซื้อ และการเตรียมอาหารด้วย

ที่่มา :  http://www.ipmthailand.org/th/Your_poison/21_what_can_consumers.htm

ข้อแนะนำ  เราหลี่กเลี่ยงสารเคมีในชีวิตประจำวัน จากมลพิษ สิ่งแวดล้อม อุปกรณ์ของใช้ การสัมผัส การหายใจเท่าที่ป้องกันได้  หากแต่ที่ทำได้คือ หยุดเสี่ยง บริโภคสารเคมีเข้าสู่ร่างกายโดยตรง อย่างน้อยก็มีสุขภาพดีไม่ต้องสิ้นเปลืองค่ายารักษาและทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ เราหันมาป้องกันดีกว่าเยียวยากันนะ 


สนับสนุนโดย  คูเน่  โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว