ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปัญหาขาดอาหารและโรคอ้วนในเด็กทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรุนแรงขึ้น

ปัญหาขาดอาหารและโรคอ้วนในเด็ก

ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรุนแรงขึ้น


ยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลกชี้ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังประสบกับวิกฤติด้านโภชนาการในเด็กทั้งที่ขาดอาหารและโรคอ้วน

องค์การกองทุนเพื่อเด็กเเห่งสหประชาชาติหรือ UNICEF และองค์การอนามัยโลกชี้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังประสบกับวิกฤติด้านโภชนาการ​ ทั้งทุพโภชนาการและโรคอ้วนในเด็ก ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้เจริญเติบโตมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
รายงานของยูนิเซฟกับองค์การอนามัยโลกชิ้นนี้ชี้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบกับภาระค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากปัญหาทุพโภชนาการและโรคอ้วนในเด็ก ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศรายได้ปานกลาง อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และประเทศไทย
รายงานชิ้นนี้เปิดเผยว่า ในอินโดนีเซียเพียงประเทศเดียว ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของเด็ก นำไปสู่การเกิดโรคที่ไม่ติดต่อหลายโรคซึ่งสร้างค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขถึงปีละ 2 เเสน 4 หมื่น8 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
คุณ Dorothy Foote ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระดับภูมิภาคแห่งยูนิเซฟ กล่าวว่าปัญหานี้จะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งปัญหาโภชนาการของเด็กและคนทั่วไป
เธอกล่าวว่า แม้ว่าองค์การยูนิเซฟกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับเด็ก เเต่ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในด็กเท่านั้น แต่เป็นปัญหาใหญ่ในกลุ่มประชากรทั่วไปโดยรวมอีกด้วย ปัญหานี้จะกระทบทั้งครอบครัว ชุมชน ตลอดจนรัฐบาล และสังคม เนื่องจากผลกระทบจากภาระทางสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว
ในอินโดนีเซีย เด็ก 12 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคอ้วน และเด็กอีก 12 เปอร์เซ็นต์ขาดอาหาร ในประเทศไทย รายงานชิ้นนี้ชี้ว่าปัญหานี้เพิ่มความรุนแรงขึ้น โดยเด็ก 7 เปอร์เซ็นต์ขาดอาหาร ขณะที่ เด็ก 11 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคอ้วน
คุณ Foote กล่าวว่าภาวะทุพโภชนาการมีผลกระทบที่เรื้อรังและรุนแรง อาทิ ทำให้เกิดภาวะเเคระแกร็นในเด็ก ประเทศลาวมีอัตราเด็กตัวเเคระเเกร็นสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ และอัตราเด็กแคระเเกร็นที่สูงนี้ยังพบในกัมพูชา พม่า ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียด้วย
คุณ Foote ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระดับภูมิภาคแห่งยูนิเซฟ กล่าวว่า หากเด็กไม่ได้รับอาหารเพียงพอ จะมีผลกระทบทั้งความสูงและพัฒนาการต่างๆ ในร่างกาย และนอกจากปัญหาทุพโภชนาการแล้ว ภูมิภาคนี้ยังประสบกับปัญหาเด็กอ้วนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ในรายงานชิ้นนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาด้านอาหารในเด็ก เกิดจากการกินอาหารขยะกันมากขึ้น ทั้งที่เป็นอาหารแปรรูปและเครื่องดื่มที่มีไขมันไม่อิ่มตัวหรือมีปริมาณน้ำตาลสูง แต่มีคุณค่าทางอาหารต่ำ รายงานนี้ชี้ว่าการไม่ออกกำลังกายและวิถีชีวิตสมัยใหม่ก็มีบทบาทต่อเรื่องนี้
คุณ Foote กล่าวว่า คนในภูมิภาคยังด้อยความรู้เกี่ยวกับโภชนาการที่ดีต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ไม่เฉพาะในระดับประชาชนเท่านั้น แต่ในระดับรัฐบาลและผู้ร่างนโยบายอีกด้วย
การเติบโตทางเศรษฐกิจได้นำไปสู่การขยายตัวของตลาดอาหารที่ไม่มีคุณค่าต่อร่างกายไปยังเขตชนบท รวมทั้งครอบครัวคนยากจนและคนชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อหาผลิตภัณฑ์อาหารขยะไปรับประทาน แทนที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ทางยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลกชี้ว่า รัฐบาลในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องควบคุมการขายอาหารขยะเเละเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงแก่เด็กให้เข้มงวดมากขึ้นและควบคุมไม่ให้ขายอาหารไม่มีคุณค่าเหล่านี้ในโรงเรียน ปัญหาเด็กขาดอาหารยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่มารดาเลิกเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตนเองอีกด้วย โดยหันไปใช้นมผงแทน
รายงานชิ้นนี้ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลในประเทศต่างๆ ปรับปรุงแนวการเลี้ยงทารกและเด็กเล็ก จัดหาการบำบัดเเก่เด็กที่เกิดภาวะทุพโภชนาการรุนแรง เพิ่มความหลากหลายของผลผลิตทางการเกษตร ส่งเสริมความสะอาดของอาหาร และต้องส่งเสริมให้เด็กผู้หญิงไปโรงเรียนให้นานปีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้รายงานของยูนิเซฟกับองค์การอนามัยโลก ยังต้องการให้รัฐบาลต่างๆ เดินหน้าต่อไปเพื่อลดความยากจนลง
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)
ที่มา : http://www.voathai.com/a/asia-child-nutrition-tk/3331820.html?ltflags=mailer

องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ แนะให้ลดเกลือในอาหาร... ลดความดัน ลดเครียด

องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ แนะให้ลดเกลือในอาหาร... 
ลดความดัน ลดเครียด
The FDA would like to see food manufacturers and restaurants cut the amount of sodium in their food by one-third over the next decade.

องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ให้คำแนะนำว่า ปริมาณโซเดียมในอาหารที่เรารับประทานต่อวันไม่ควรเกินกว่า 2,300 มิลลิกรัม

องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ มีคำแนะแนวใหม่ออกมาสำหรับผู้ผลิตอาหารและร้านอาหารทั่วไปว่า ขอให้พยายามลดเกลือหรือโซเดียมในอาหารลงให้ได้หนึ่งในสาม ในช่วงสิบปีข้างหน้า
ข้อเสนอนี้เป็นเพียงการแนะนำเท่านั้น ไม่ใช่คำสั่ง เป้าหมายที่องค์การอาหารและยาสหรัฐหวัง คือการลดเกลือในอาหารลง จะช่วยให้คนอเมริกันเป็นความดันโลหิตสูง หรือความเครียดน้อยลง
องค์การอาหารและยาของสหรัฐให้คำแนะนำว่า ปริมาณโซเดียมในอาหารที่เรารับประทานต่อวันนั้น ไม่ควรเกินกว่า 2,300 มิลลิกรัม ในขณะนี้ คนอเมริกันรับประทานอาหารที่มีโซเดียมผสมใส่ไว้ โดยเฉลี่ยแล้ววันละ 3,400 มิลลิกรัม
นายแพทย์ Thomas Frieden ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขศาสตร์ของ CDC หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ได้เขียนบทบรรณาธิการออนไลน์สนับสนุนข้อเสนอแนะนี้ไว้ในวารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกัน หรือ The Journal of the American Medical Association (JAMA)
รัฐมนตรี Sylvia Burwell ของกระทรวงสาธารณสุขและการพัฒนามนุษย์ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้ด้วยว่า คนอเมริกันเป็นจำนวนมาก อยากจะลดโซเดียมในอาหารที่รับประทาน แต่เป็นเรื่องทำได้ยาก เมื่อผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่หาซื้อได้ตามร้านค้าและร้านอาหาร มีโซเดียมผสมไว้อยู่แล้ว
ข้อเสนอแนะใหม่นี้จะช่วยให้ผู้บริโภคควบคุมปริมาณเกลือหรือโซเดียมในอาหาร และปรับปรุงสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้น
แต่มีนักวิทยาศาสตร์บางคน อย่างเช่น ผู้บริหาร Cleveland Clinic ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องโรคหัวใจ ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะใหม่นี้ โดยให้ความเห็นว่า หลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้ ไม่ชัดเจนพอที่จะบอกว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างโซเดียมกับโรคหัวใจ
เจ้าหน้าที่อาวุโสขององค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ กล่าวย้ำว่า ข้อเสนอแนะนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจ ไม่ใช่คำสั่ง เพราะโซเดียมมีความสำคัญในการผลิตอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องรสชาติ เนื้อหา และความปลอดภัยทางจุลินทรีย์
ดังนั้นจึงจะต้องมีการพิจารณาเรื่องนี้กันอย่างรอบคอบ
ที่มา : http://www.voathai.com/a/sodium-cutbacks-nm/3359981.html?ltflags=mailer