ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Kuu Ne F&F อาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก ...


#อ้วนสะสม 10 - 20 ปี จะลดภายใน 10 - 15 วันเป็นไปไม่ได้
ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คูเน่ F&F 
ผลงานวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์
Kuu Ne คูเน่ ... โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว
www.ptpfoods.com,   facebook/kuunepage,   Line Id : OatEcho
ติดต่อ คมชาญ 086-791 7007

#คูเน่เอฟแอนด์เอฟ #ฟิตแอนด์เฟิร์ม #KuuNeF&F #KuuNeFit&Firm #เอฟแอนด์เอฟ #F&F #ควบคุมน้ำหนัก 
#ลดไขมัน #ควบคุมระดับน้ำตาล #เร่งการเผาผลาญ #แร่ธาตุและวิตามิน 

รู้ได้อย่างไร...ว่าเป็นโรคอ้วน

โรคอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากกว่าปกติ การที่มีการสะสมของไขมันมากขึ้นนี้อาจเนื่องมาจากร่างกายได้รับพลังงานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจึงมีการสะสมพลังงานที่เหลือเอาไว้ในรูปของไขมันตาม อวัยวะต่างๆ และนำมาซึ่งสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อ
#ชนิดของโรคอ้วน
โรคอ้วนที่ผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1.   อ้วนลงพุง เป็นลักษณะของคนอ้วนที่มีการสะสมของไขมันที่บริเวณช่องท้องและอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ลำไส้ กระเพาะอาหารและอื่นๆ ไขมันที่อยู่ในอวัยวะภายในเหล่านี้ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขมันในเลือดสูง โดยรอบพุงที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ซม. จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน 3-5 เท่า
2.     อ้วนทั้งตัว  ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มขึ้น มิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใด
      ตำแหน่งหนึ่งโดยเฉพาะ บางคนนอกจากเป็นโรคอ้วนทั้งตัวแล้วยังเป็นโรคอ้วนลงพุงร่วมด้วย จะมีโรค
      แทรกซ้อนทุกอย่าง และโรคที่เกิดจากน้ำหนักตัวมาก ได้แก่ โรคไขข้อ ปวดข้อ ข้อเสื่อม ปวดหลัง ระบบ
     หายใจทำงานติดขัด

            
#รู้ได้อย่างไร ...ว่าเป็น #โรคอ้วน
                โรคอ้วนทั้งตัวบอกได้จากการวัดปริมาณไขมันในร่างกายว่ามีมากน้อยเพียงใด ส่วนการวัดปริมาณไขมันในช่องท้องและไขมันใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องจะชี้บอกว่าเป็นโรคอ้วนลงพุงหรือไม่ แต่การวัดปริมาณไขมันในร่างกายต้องใช้เครื่องมือพิเศษและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ในทางปฏิบัติจึงใช้ค่าดัชนีมวลกายเพื่อการวินิจฉัยโรคอ้วนทั้งตัว และวัดเส้นรอบเอวเพื่อการวินิจโรคอ้วนลงพุง

 #ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ #BMI )
                คือ ค่าความหนาของร่างกาย ใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินภาวะอ้วนผอมในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งคำณวนได้จาก การใช้น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมและหารด้วยส่วนสูงที่วัดเป็นเมตรยกกำลังสอง ซึ่งใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ดังสูตรต่อไปนี้
                ดัชนีมวลกาย (BMI)  =
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)

    ส่วนสูง  (เมตร)2
เช่น น้ำหนักตัว 74 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตร มีดัชนีมวลกายเท่าไหร่ ?         
    ดัชนีมวลกาย (BMI)    =
74 กก.
 =    28.9  กก./ม.2

1.60 ม. x 1.60 ม.

              
ตารางที่ 1  การแบ่งระดับความอ้วนตามค่าดัชนีมวลกายของคนเอเชีย
ค่าดัชนีมวลกาย (กก./ม.2)
ภาวะน้ำหนักตัว
น้อยกว่า 18.5
น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
18.5 – 22.9
ปกติ
23.0 – 24.9
น้ำหนักเกิน
25.0 – 29.9
โรคอ้วน
มากกว่า 30
โรคอ้วนอันตราย
      
การวัดเส้น #รอบเอว หรือเส้นรอบพุง(โดยทั่วไปจะวัดรอบเอว ตรงระดับสะดือพอดี) เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการก่อโรค ผู้ชายต้องมีเส้นรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงน้อยกว่า 80 เซนติเมตร ถ้าเส้นรอบเอวใหญ่เกินกว่าค่าดังกล่าวนี้แล้วก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆนั้นสูงขึ้น
ตารางที่ เส้นรอบเอวของคนอ้วนที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพไม่ดี
                              ชาย         
หญิง
ตั้งแต่  90 เซนติเมตร ขึ้นไป
ตั้งแต่  80 เซนติเมตร ขึ้นไป
  



( รูปการวัดรอบเอว )






วิธีการวัดเส้นรอบเอว
1.             อยู่ในท่ายืน
2.             ใช้สายวัด วัดรอบเอวโดยวัดผ่านสะดือ *
3.             วัดในช่วงหายใจออก (ท้องแฟบ) โดยให้สายวัดแนบกับ
ลำตัว ไม่รัดแน่น และให้ระดับของสายวัดที่วัดรอบเอว
วางอยู่ในแนวขนานกับพื้น 

                               *  เป็นวิธีวัดอย่างง่าย  เพื่อการติดตามเฝ้าระวังภาวะอ้วนลงพุง

#ลดน้ำหนัก  ด้วยหลัก 3 อ.
#อาหาร        ( รูปอาหารจานเดียว สูตร 2 1 1)         
                -   กินให้ครบทั้ง 3 มื้อ ต้องไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
-   เลือกกินอาหารพลังงานต่ำ หรือลดปริมาณอาหารทุกมื้อที่กิน
                -   กินผัก ผลไม้รสไม่หวานในมื้ออาหารให้มากขึ้น  
                -   หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม
                -   เคี้ยวอาหารช้าๆ ใช้เวลาเคี้ยวประมาณ 30 ครั้งต่อ 1 คำ
#ออกกำลังกาย   ( รูปออกกำลังกาย)  
                แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย
                -  ออกกำลังกายแบบแอโรบิค อย่างต่อเนื่องนานกว่า 45 นาทีขึ้นไป 5 วันต่อสัปดาห์
               -  เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ
-  เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์
-  เพิ่มการเดินให้ได้ 2,000 ก้าวต่อวัน  
#อารมณ์  คือ อารมณ์มุ่งมั่นต่อเป้าหมายลดน้ำหนัก ต้องมีจิตใจที่มั่นคง หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ จะทำให้ล้มเลิกความคิดในการลดน้ำหนักในที่สุด
                หลักในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกขณะลดน้ำหนัก
                สกัด  สกัดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้หิว   
                สะกด สะกดใจไม่ให้บริโภคเกิน    

                สะกิด ให้คนรอบข้างช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจขณะลดน้ำหนัก

ปัจจุบันคนที่มี #น้ำหนักมาก เกินเกณฑ์ จัดเป็นโรคอ้วนและเป็นส่วนหนึ่ง
ของกลุ่มโรคเมตาโบลิก (Metabolic syndrome ) ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมากมาย เช่น
1. #ความดันโลหิตสูง คนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูง กว่าคนไม่อ้วน 2-9 เท่า และถ้าน้ำหนักตัวลดลงความดันโลหิตก็จะลดลงด้วย
2. #โรคเบาหวาน คนอ้วนเล็กน้อยจะมีโอกาสเกิดโรคเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า คนอ้วนปานกลางจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 5 เท่าและความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น 10 เท่าในคนที่อ้วนมากๆ (น่ากลัวไหมคะ)
3. #ความผิดปกติของระดับไขมันในหลอดเลือด คนอ้วนมักจะมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และเอชดีแอลต่ำจึงจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโรคหัวใจขาดเลือด
4. #โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีความเสี่ยงต่อ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โรคหลอดเลือดสมองตีบตันได้หากใครที่อ้วนและเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก ควรเริ่มตรวจหัวใจด้วย
5. #โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ ความอ้วนมากจะทำให้เกิดความผิดปกติ ในการหายใจเข้าออกและกระบังลม ผลที่ตามมาคือเกิดภาวะ ขาดออกซิเจนเรื้อรังมีอาการเหนื่อยง่าย มีอาการปวดศีรษะในตอนเช้า ในเวลากลางวันจะมีอาการง่วงนอน เหมือนนอนไม่พอ นอนกรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่านอนหงาย บางครั้งหยุดหายใจเป็นพักๆ เวลานอนหลับหรือภาวะหายใจอุดกั้น (Sleep Apnea disease) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมากค่ะ ส่งผลระยะยาวหัวใจซีกขวาทำงานหนักและอาจเสียชีวิตได้
6. #โรคข้อเสื่อม คนอ้วนจะมีอาการของข้อเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม ปวดเข่า ปวดหลัง เนื่องจากข้อต่างๆ ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้ คนอ้วนมักจะมีระดับกรดยูริคในเลือดสูงกว่าปกติและมีโอกาสเป็นโรคเกาต์มากขึ้น
7. #โรคถุงน้ำดี คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าคนไม่อ้วน 3-4 เท่า
8. #โรคมะเร็งบางชนิด จากการศึกษาพบว่า คนที่เป็นโรคอ้วนจะเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่อ้วน เช่น โรคมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมน และมะเร็งระบบทางเดินอาหารมะเร็งของเยื่อบุมดลูก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งถุงน้ำดี
9. #ปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เช่น #โรคเชื้อราที่ผิวหนัง #เส้นเลือดขอด อาการท้องผูก การคลอดบุตรมีปัญหา แผลผ่าตัดอาจจะหายช้ากว่าปกติ เป็นต้น
                        """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

3 บุคลิกภาพ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนเรา

รายงานวิจัยเปิดเผย 3 บุคลิกภาพ

ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนเรา


งานวิจัยที่ Washington University ที่นครเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ติดตามเก็บข้อมูลชาวอเมริกัน 7,000 คน อายุระหว่าง 30-90 ปี โดยให้ตอบแบบสอบถามแล้วติดตามตรวจสอบว่ากลุ่มตัวอย่างแต่ละคนมีปัญหาสุขภาพอะไรบ้าง นับเป็นรายงานชิ้นแรกที่พยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพของคนกับสุขภาพของคนๆ นั้น
รายงานได้แบ่งบุคลิกลักษณะของคนที่มีผลต่อสุขภาพออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
แบบแรกคือ บุคลิกแบบเอาใจใส่ รอบคอบ ระมัดระวัง เอาการเอางาน พึ่งพาได้ ชอบจัดการและชอบควบคุมสถานการณ์ต่างๆ คนกลุ่มนี้จะชอบออกกำลังกาย ทานอาหารมีประโยชน์ และไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขหรือยาเสพติด คนกลุ่มนี้จึงมักไม่ค่อยป่วยเป็นโรคไขข้อ โรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง
แบบที่สองคือ บุคลิกแบบเปิดเผย ตรงไปตรงมา ฉลาดและชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซากจำเจ รายงานบอกว่าคนกลุ่มนี้ชอบทำกิจกรรมท้าทายสมอง เช่นแก้ปัญหาเชาว์ต่างๆ หรืออ่านหนังสือ ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต นอกจากนั้นคนกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มตัดสินใจได้ดีเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายตนเอง ทำให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสน้อยเช่นกันที่จะเป็นโรคหัวใจหรือโรคเกี่ยวกับอาการทางสมอง
บุคลิกแบบที่สามคือ คนที่ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เป็นคนที่ช่างวิตกกังวลและคิดมาก คนที่มีบุคลิกแบบนี้มักมีปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากความเครียด ส่งผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันและเพิ่มภาวะอักเสบในร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
รายงานแนะนำให้คนกลุ่มที่สามพยายามใช้วิธีสงบจิต ทำสมาธิ ซึ่งเป็นแนวทางที่กำลังได้รับความนิยมในโลกตะวันตก เพราะเมื่อทำบ่อยๆ จะช่วยลดความหวาดวิตกต่างๆ ได้ ถือเป็นการปรับสมดุลในจิตใจ และอาจเปลี่ยนบุคลิกภาพให้กลายเป็นคนคิดดีมีความสุขได้ด้วย และนั่นทำให้ร่างกายสดใสแข็งแรงไปด้วย 
 
รายงานวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Social Psychological and Personality Science 
รายงานจาก Yahoo! / เรียบเรียงโดยทรงพจน์ สุภาผล
ที่มา : http://www.voathai.com/content/personality-health-ss/2486691.html

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

น้ำหนักตัวสำคัญอย่างไร?

      ทำไมน้ำหนักตัวมากเกินจึงไม่ดีต่อสุขภาพ และ

น้ำหนักตัวน้อยเกินไม่ดีเช่นกันหรือเปล่า

น้ำหนักตัวสำคัญอย่างไร
                       การมีน้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไปอาจไม่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรงใดๆ แต่การมีน้ำหนักตัวที่ผิดไปจากเกณฑ์อย่างมากก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพได้
                       การมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อยดูจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่การเป็นโรคอ้วน (obesity) หรือมีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ 20% ขึ้นไปทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต นิ่วในถุงน้ำดี และเบาหวาน เพิ่มขึ้นอย่างมาก น้ำหนักส่วนเกินที่กระดูกและข้อต่อต่างๆต้องรองรับจะเร่งให้เกิดโรคข้อเสื่อมที่หัวเข่า สะโพก และหลังส่วนล่าง ไขมันส่วนเกินที่บริเวณทรวงอกและใต้กะบังลมอาจรบกวนระบบทางเดินหายใจและอาจทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบได้
น้ำหนักตัวสำคัญอย่างไร
                       ถ้าการลดน้ำหนักและควบคุมให้คงที่เป็นเรื่องยากเย็นก็ไม่ต้องท้อใจ เพราะการรักษาน้ำหนักให้คงที่แม้จะเกินเกณฑ์นิดหน่อย ก็ยังดีกว่าการพยายามลดน้ำหนักมากๆแล้วกลับมาเพิ่มใหม่จนต้องลดอีก ซึ่งยิ่งจะทำให้คงที่แม้จะเกิดเกณฑ์นิดหน่อย ก็ยังดีกว่าการพยายามลดน้ำหนักมากๆแล้วกลับมาเพิ่มใหม่จนต้องลดอีก ซึ่งยิ่งจะทำให้เครียดไม่รู้จบ
ที่มา : http://healthmeplease.com/น้ำหนักตัวสำคัญอย่างไร.html
แนะนำ #อาหารเสริมสุขภาพ #ควบคุมน้ำหนัก อุดมด้วย #แร่ธาตุและวิ #ตามิน ผลิตจาก #ธรรมชาติ ซึ่งได้ผ่านช่วงของการทดลองพืชไร่ทางการเกษตรหลายชนิด จึงได้กลุ่มพืชประเภท ชาเขียว ถั่วขาว กระเทียม หอมหัวใหญ่ และรกพริก และทำการพัฒนากระทั่งทดสอบผลิตภัณฑ์จนเป็นที่พอใจ ด้วย  #วิตามิน เอ บี ซี แคลเซียม เหล็ก และแร่ธาตุสารอาหาร  #Capsaicin, #Allicin & #Flovonoids, #L'amylase ที่มีประโยชน์ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการควบคุมน้ำหนัก #ลดไขมัน  #ควบคุมระดับน้ำตาล #เร่งการเผาผลาญ #สกัดจากธรรมชาติ 100%  ผ่านการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ บริษัท ห้องปฏิบัตการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด Central Laboratory (Thailand) 
จากความร่วมือภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร โดย ผศ.ดร.พิสิฏฐ์  ธรรมวิธี  สถาบันค้นคว้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด  ได้ต่อยอดงานวิจัยแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สู่อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ Kuu Ne - Fit & Firm สกัดจากพืชธรรมชาติ 5 ชนิด เพื่อประโยชน์ในการ ควบคุมน้ำหนัก ลดไขมัน ควบคุมระดับน้ำตาล เร่งการเผาผลาญ

http://www.ptpfoods.com/2013/02/kuu-ne.html
สอบถามได้ที่ คุณคมชาญ  086-791 7007 
line id : OatEcho

ภัยเงียบโรคหัวใจ สี่สิบแล้วเริ่มเสี่ยง

นายแพทย์ประดับ สุขุม
“โรคหัวใจ”...มีหลายชนิด อาการ ทั่วๆไปที่ต้องระวังก็คือเจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะตอนออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ หรือแม้แต่เจ็บเวลานอนอยู่เฉยๆก็ถือว่าร้ายแรงพอสมควร
นายแพทย์ประดับ สุขุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ บอกว่า โรคบางอย่างแม้ว่าจะทำให้มีอาการเจ็บแน่น...ปวดแน่นหน้าอกได้ แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดมาจากโรคหัวใจ
ถัดมา...หายใจไม่สะดวก เหนื่อยง่าย แล้วก็เพลีย...วูบล้มก็เป็น อีกอาการที่ต้องระวัง ที่สำคัญคือ... “อายุ” เกี่ยวข้องค่อนข้างจะมาก โรคหัวใจเป็นมากตามอายุ ยิ่งอายุมากก็มีความเสี่ยงมากขึ้น ราว 40 ปีขึ้นไปก็เกิดขึ้นได้...ถ้าจะเป็นจริงๆ ส่วนใหญ่มักพบอายุ 50–60 ปีไปแล้ว

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วการระวังตัวอย่ารอให้เป็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเตรียมตัวรับมือ การตรวจร่างกายสม่ำเสมอก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่การป้องกันที่ดีที่สุดคือ “การใช้ชีวิตที่เหมาะสมที่สุด” เช่น ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจความดัน เบาหวาน คอเลสเทอรอล...ให้อยู่ในระดับปกติ
โรคหัวใจประเภทที่น่ากลัวที่สุดคือ เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบและตันขึ้นมา ทำให้มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ทำให้เหนื่อยอ่อน หายใจไม่สบาย...เส้นเลือดตีบเส้นเลือดตัน บางทีเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เสียชีวิตอย่างเฉียบพลันได้
เป็นแล้วไม่ตาย...แต่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับโรคหัวใจโดยตรง แต่เกี่ยวกันทางอ้อม โดยมีโรคบางชนิด...เป็นโรค เกี่ยวกับโรคหัวใจแล้วก็ทำให้มีการเกิดลิ่มเลือดเกิดขึ้นในห้องของหัวใจ แล้วลิ่มเลือดอันนี้หลุดแล้วไหลไปตามเส้นเลือด ถ้าขึ้นไปยังสมอง...เกิดอุดตันก็ทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์

“หัวใจ” เปรียบเหมือนเครื่องจักรที่คอยสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายอย่างไม่มีวันหยุดพัก แน่นอนว่า...หากเราใช้งานเครื่องจักรที่ชื่อหัวใจแบบไม่ดูแลทะนุถนอม ก็อาจทำให้หัวใจของเราทำงานเรรวน หรือหยุดทำงานไปโดยไม่รู้ตัว เรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน”
หากปฐมพยาบาลหรือทำการรักษาไม่ทันก็อาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตลงได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือในบางคนที่ภายนอกอาจดูร่างกายแข็งแรงไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆมาก่อน ก็สามารถเสียชีวิตจากภาวะนี้ได้
ต้องย้ำว่า อาการที่แสดงออกถึงโรคหัวใจในแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ขณะที่เส้นเลือดเริ่มตีบตันเพียงเล็กน้อย อาจไม่แสดงอาการ จนกระทั่งวันใดวันหนึ่งที่หัวใจเริ่มจะขาดเลือด จะเริ่มมีอาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกหรือเหนื่อยง่ายกว่าปกติให้เห็น
สืบเนื่องจากอุบัติการณ์ที่มีผู้ป่วยเสียชีวิตมากขึ้น จากอาการช็อกหมดสติ หัวใจหยุดทำงานเกิดได้จาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ จากภาวะของโรคหัวใจโดยตรง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน, โรคลิ้นหัวใจรั่ว, โรคผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนา หรือเกิดจากภาวะหัวใจหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงและมักจะยังมีอายุไม่มากนัก หรือโรคใหลตาย...ซึ่งเกิดได้กับทุกคนโดยที่ไม่ทันรู้ตัว
สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะช่วยผู้หมดสติคือ ต้องตั้งสติของตัวเองไม่ให้ตกใจจนทำอะไรไม่ได้...หลังจากนั้นให้ทำการเรียกหรือเขย่าตัวผู้หมดสติว่ายังมีการตอบสนองหรือไม่?
ถ้าไม่มีการตอบสนอง ให้สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระตุกหรือชักเกร็งหรือไม่ หรือหายใจเฮือก หรือหยุดหายใจ
และ...ถ้ามี ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน ให้รีบขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลทันที และถ้าสามารถทำการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานได้ จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น
ขั้นตอนการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย การนวดหัวใจ (Chest compression) โดยปกติสมองสามารถทนต่อการขาดออกซิเจนได้ประมาณ 4 นาทีเท่านั้น...ถ้านานกว่านี้ จะทำให้เซลล์สมองเสียหายได้
ดังนั้นการนวดหัวใจจึงเป็นการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น แค่การนวดหัวใจเพียงอย่างเดียวโดยไม่จำเป็นต้องเป่าปากร่วมด้วย ก็ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้แล้ว

วิธีการนวดหัวใจทำได้ดังนี้...วางส้นมือข้างที่ถนัดไว้ตรงบริเวณกลางหน้าอกของผู้ป่วย และนำมืออีกข้างหนึ่งวางทับไว้ด้านบน ระหว่างทำการนวดหัวใจให้แขนเหยียดตรงตลอดเวลา จากนั้นให้ทำการกดหน้าอกให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว โดยทำการกดและปล่อยหน้าอกให้คืนตัวสุดก่อนการกด แต่ละครั้ง กดด้วยความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที...หรือ 25ครั้งต่อ 15 วินาที และพยายามทำการนวดหัวใจให้ต่อเนื่องกันให้มากที่สุด
นายแพทย์ประดับ บอกอีกว่า หัวใจไม่ทำงานอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการวูบ หมดสติไปเลยอย่างกะทันหัน เทคโนโลยีวันนี้สามารถจะกระตุ้นหัวใจได้ด้วย เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ Automated External Defibrillator (AED) ที่จะช่วยผู้ป่วยได้อย่างกะทันหันเช่นกัน
“ผู้ป่วยล้มวูบไป ก็หมายถึงว่าเขาไปแล้วล่ะ...เราต้องช่วยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ดีที่สุดคือภายใน 5 นาทีหลังจากที่ฟุบลงไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือการปั๊มหัวใจหรือนวดหัวใจ ที่ทำได้ด้วยมือเปล่าก็ช่วยได้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีโอกาสรอดชีวิต ถัดมาก็เป็นการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ ทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติได้”
เมื่อก่อนเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจมีแต่ในโรงพยาบาล เป็นเครื่องใหญ่อยู่ในห้องไอซียู...ซีซียู ชาวบ้านทั่วไปถ้าเป็นก็ต้องเรียกรถพยาบาลกว่าจะถึงรถก็ติด อาจจะไม่ทันกาล ประโยชน์ก็น้อย เทคโนโลยีที่พัฒนากลายมาเป็นเครื่อง AED ทำงานเหมือนกันแต่มีขนาดเล็ก หิ้วได้ง่าย เคลื่อนย้ายสะดวกและก็ใช้งานไม่ยาก
ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะวางเครื่อง AED ไว้ในจุดต่างๆ อาทิ สถานีรถไฟ สนามบิน โรงเรียน สนามกีฬาที่มีคนพลุกพล่าน กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน มีผู้ป่วย ผู้ที่ได้รับการอบรมในสถานที่นั้นๆหรือคนธรรมดาก็สามารถหยิบมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว
ประเทศไทยยังมีใช้น้อยมาก แต่เรากำลังมีโครงการนำร่องเริ่มนำมาใช้ที่รัฐสภา สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินเชียงใหม่ สนามบินดอนเมือง และอีก 2-3 แห่ง ซึ่งในอนาคตอาจจะต้องมีอีกหลายจุดที่สำคัญ
นี่คือหนึ่งในกิจกรรมรณรงค์ของโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ให้คนไทยหันมาสนใจดูแลหัวใจให้แข็งแรงเนื่องในวันหัวใจโลก “Saving Million Hearts 2014...ร่วมดูแลหัวใจคนไทยให้แข็งแรง”
กระนั้นเทคโนโลยีที่แลกมาด้วยชีวิตก็เป็นสิ่งที่ต้องลงทุน สนนราคาเครื่อง AED ในต่างประเทศอยู่ที่ราวๆ 45,000 บาท แต่นำเข้ามาขายในประเทศไทย ผ่านขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยแล้วเคาะราคาไม่น่าจะต่ำกว่า 80,000 บาท...

“คิดในมุมช่วยชีวิต...ชีวิตคน เป็นแสนเป็นล้านก็ซื้อไม่ได้”
นายแพทย์ประดับ บอกว่า คนไทยปัจจุบันเป็นโรคหัวใจกันเยอะ... ประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกา ยุโรป คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดจะเป็นมากที่สุด มะเร็งเป็นอันดับสอง แต่เมืองไทย “มะเร็ง” ยังเป็นแชมป์อันดับหนึ่งอยู่ โรคหัวใจ...เส้นเลือดยังรองลงมา
อัตราผู้ป่วยโรคหัวใจในคนไทยที่เพิ่มขึ้นทุกปี มีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุที่มากขึ้น มีภาวะอ้วน ไขมันสะสม สูบบุหรี่เป็นประจำ บวกกับการมีโรคประจำตัว เบาหวาน...ความดัน ไม่ชอบออกกำลังกาย เกิดความเครียดบ่อยครั้ง ตลอดจนปัจจัยทางพันธุกรรม...
การป้องกันโรคหัวใจเป็นสิ่งที่จำเป็น หากตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่นๆจะช่วยให้คนไข้รู้ตัว และใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทัน ป้องกันไม่ให้โรคหัวใจกำเริบเร็วเกินไป.
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/452596