ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ต้นทางการสร้างสรรค์ สู่นวัตกรรมทางธุรกิจ

Kuu Ne คูเน่ ได้แชร์ รูปภาพ ของ สำนักงานบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

          พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ 
          ทรงโปรดเกล้ากระหม่อม บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด กราบบังคมทูลถวาย
          คูเน่ ผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

 

ฯพณฯ องคมนตรี อำพล เสนาณรงค์ ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน กับ บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ผลิตภัณฑ์ Kuu Ne คูเน่ นวัตกรรมผงปรุงครบรสโซเดียมต่ำ จากธรรมชาติเพื่อสุขภาพปลอดสารเคมี

  ฯพณฯ องคมนตรี อำพล เสนาณรงค์ ผู้มอบรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร Food Innovation Contest 2009  จาก : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารแห่งประเทศไทย



จากวันนั้นต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ซองแดง สูตรธรรมดา วันนี้ ฯพณฯ ให้เกียรติมาเป็นสักขีพยาน ซองขาว สูตร Low Sodium 2 in 1 ใช้ปรุงอาหารก็ได้ ชงดื่มบำรุงสุขภาพก็ดี แถมยังป้องกันความเสี่ยงต่อโรคด้วย
www.ptpfoods.com,  www.facebook.com/kuunepage

  



นางสาวพิกุล  ทักษิณวราจาร    รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 
ให้การสนับสนุน " ต้นทางการสร้างสรรค์ สู่นวัตกรรมทางธุรกิจ


โอกาสดีๆ ที่กรมส่งเสริมการส่งออก ให้การสนับสนุน


ที่ 1 จากซ้าย คุณคมชาญ เอกเตชวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บจก.ปกธนพัฒน์
ที่ 2 คุณจิรภาพรรณ  มลิทอง  ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมธุรกิจ SMEs เพื่อการส่งออก
ที่ 3 คุณอภิลักขณ์  มาสกุล  กรรมการผู้จัดการ บจก.กุลนารถ แกรนด์




คุณคมชาญ เอกเตชวุฒิ บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ร่วมยินดีกับ
คุณวันเพ็ญ รัตนกังวาล ผอ. สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
ในโครงการ Thailnad Food Valley

  

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ครบรอบ 4 ขวบปี จากดินสู่ดาว


#สาสน์จากใจ ด้วยจิตสำนึก คิดดี ทำดี มีความสุข กับที่มาของนวัตกรรม Beyond The Fact  แก้ที่ต้นตอสาเหตุของปัญหา ดีกว่าเยียวยารักษาในภายหลัง  คุณรู้ คุณคิด คุณเลือกได้ ด้วยตัวคุณ ... ส่งต่อห่วงโซ่คุณค่าด้วยความห่วงใยอาทรต่อกัน
#จากมุมมองในอดีตมองเห็นผู้คนทำงานต่อสู่ชีวิตด้วยคาดหวังจะมีเงิน มีความสุขมากพอในช่วงท้ายๆของชีวิต เรียกง่ายๆ ยามแก่เฒ่า  กลับพบว่ากว่า 70%  ของคนที่สูงอายุกลับไม่ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างที่ตั้งใจ ส่วนใหญ่ก็เจ็บป่วย ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ เรื้อรัง เข้าๆออกๆ โรงพยาบาล เป็นประจำ หรือไม่ก็จากไปก่อนเวลาอันควร ให้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องโชคชะตา เลือกเกิดไม่ได้ บางคนกลั่นชีวิตลิขิตเส้นทางที่ชอบที่ถนัดเกิดปัญญาสร้างรายได้จำนวนมากตามความต้องการของตนแต่วัยเยาว์  บางคนกลั่นชีวิตจนหยดสุดท้ายไม่มีลิขิตให้เห็นกระทั่งลมหายใจสุดท้าย  เกิดอะไรขึ้นกับผู้คนเหล่านี้  มุมหนึ่งคิด  เรื่องกฎแห่งกรรม ก็ใช่แต่แว่วๆให้ดังขึ้นในใจ หรือเข้าข้างตนเอง ... หนึ่งที่หลุดพ้นไปแล้วจะสุขหรือทุกข์ไม่มีใครรู้ มีแต่คนรุ่นหลังให้มโน...   กับอีกหนึ่งที่ยังอยู่กำลังสะสมให้ทุกข์ หรือ สุขกันแน่  ไม่มีอะไรแน่นอนก็จริง แล้ววันนั้นมาถึงจริงแต่ไม่ได้หลุดพ้นในทันที หากแต่ต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ตนมองข้ามมาทั้งชีวิตสั่งสมไว้เพื่อออกฤทธิ์ในช่วงท้ายอย่างที่เป็น  จากข่าวสารทางการแพทย์พบว่าคนสูงอายุส่วนใหญ่ มีปัญหาเรือรัง จากโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ ไต และมะเร็ง ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคโซเดียมสูง อีกทั้งการบริโภคอาหารแปรรูปที่มีส่วนผสมของสารเคมีในอาหารสูงเป็นระยะเวลานาน มีสารเคมีสะสมที่ไต ทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมลงกระทั่งภาวะความสมดุลในเลือดเกี่ยวกับความเป็นกรดและด่างสูญเสียไป สัญญาณเตือนเริ่มแรกก็คือ โรคความดัน แล้วจากนั้นโรคอื่นๆก็พาเลซ ในที่สุดความสุขที่อยากมีก็ได้เห็นแน่นอยู่ที่โรงพยาบาลทุกหนแห่ง

#สู่ความคิด #จะทำยังไงดีที่จะช่วยให้ผู้คนเจ็บป่วยน้อยลง #เคลื่อนไหวช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมกับลูกหลาน ญาติ เพื่อนๆ คนคุ้นเคยได้พูดคุยหยอกล้อหัวเราะผ่อนคลาย ดูความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของผู้คนในแต่ละกลุ่ม แต่ละรุ่น แต่ละวัย อย่างเข้าใจและเป็นไปตามอัตภาพอันเหมาะสมอย่างไม่เป็นทุกข์ร้อนใดๆ อย่างนี้ต้องทำอย่างไรละ  เริ่มตอนไหนดีนะ แล้วจะมีอะไรที่ช่วยให้เราสะดวกกว่าที่เป็นอยู่มั๊ย  เหมือนว่าได้ยินเสียงเต้นของหัวใจดังตลอดเวลา  ยิ่งสถิติประชากรโลกปัจจุบันนี้ มีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยให้ผู้คนที่เจ็บป่วยยืดอายุให้ยืนยาวออกไป  ไม่ว่าจะมาพร้อมกับถุงยาเป็นกำ แล้วมารับยาทุกสัปดาห์ หากเดินได้เองก็ดี แล้วถ้าอยู่บนรถเข็นก็เป็นภาระให้ผู้ดูแล หรือหากต้องนอนเตียงมีสายสวน สายช่วยหายใจ ระโยงไปทั่ว กับอุปกรณ์การแพทย์และชุดขาวผลัดเวียนกันมาให้ยา วัดไข้ ดูเสมหะ เช็ดตัว เปลี่ยนชุด พลิกตัว เหมือนดูดี แต่พูดไม่ได้แค่ลืมตาดูโลกกับห้องสี่เหลี่ยมตลอดวันและคืน ... #ฉุกคิดสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ อย่างน้อยก็ไม่ต้อง #ทุกข์ทรมานยามชรา จากรุ่นสู่รุ่นพบเห็นทั่วไป #ความเป็นจริงก็คือผู้ป่วยไม่ได้ลดลงมีแต่เพิ่มมากขึ้นแล้วยังเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้  ยิ่งมี #ข่าวสารทางกระทรวงสาธารณะสุข รณรงค์ให้ประชนชนตื่นตัวกับ 3 อ. อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย  ในความเป็นจริงสอง อ. หลังพอไหวอยู่ แต่ อ. แรกไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไรนัก แล้วที่ถ่วงน้ำหนักมากไม่น้อยก็เจ้า อาหาร นี่แหละ จะทำไงดี ให้มี #อาหารปลอดสารเคมีโซเดียมต่ำๆ ไม่เป็นอันตราย ไม่สะสมในร่างกายที่สำคัญต้องมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยทุกวันนี้ผู้คนมีมากแย่งกันอยู่รอด อาหารก็ต้องให้เพียงพอกับความต้องการ ต้องผลิตให้มากๆ ทำให้ดึงดูดสวยงามน่ากิน ขายให้ได้เยอะๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องพึงพิงสารเคมี ปรุงแต่ง กลิ่น สี รส สารเพิ่มปริมาณ น้ำหนัก ด้วยต้นทุนต่ำๆ แล้วก็จูงใจผู้บริโภคด้วยลด แลก แจก แถม ชิงโชค ลุ้นรวย มากกว่าครึ่งของราคาสินค้าที่จับจ่ายก็คือค่าส่งเสริมการขาย เรียกให้ดูดีเป็นค่าการตลาดไปเสียหมด   ผู้บริโภคคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนว่าความคิดกับพฤติกรรมกลับตรงข้ามกันไปหมด #เลือกที่จะกินเพื่อประทังชีวิตดับความหิว แต่ถ้าได้ชิงโชค ได้บินไปเที่ยวต่างประเทศ ได้ทอง ได้บ้าน ได้รถ เป็นตัดสินใจซื้อ  แล้วไงละ #คุณค่าที่แท้จริงของอาหารอยู่ที่ไหน แล้วที่กิน ดื่มหรือ #ตักเข้าปากไปจะมีประโยชน์อะไรที่ได้ อย่างที่เขาเรียกกันจั้งฟูด อาหารขยะทั้งนั้น ลองคิดตามนะใครได้...  เช่นว่า รหัสลุ้นรวย เงินล้าน แล้วส่ง SMS ครั้งละ 3 บาท หากว่าสามารถกระตุ้นการขายได้สักสิบล้านชิ้น ต่อการส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้นทั้งเดือน ด้วยยอดขายกว่าสองร้อยล้านบาท มีส่วนแบ่งรายได้จาก SMS อีกด้วย  แล้ว มีค่าใช้จ่ายด้านการส่งเสริมการตลาดเป็นค่าโฆษณาร่วมร้อยล้าน ค่าเงินรางวัลที่ต้องจ่ายหากว่า 10 ครั้งก็แค่สิบล้านบาทกับคนที่ได้แค่ 10 คน  กับ10 ล้านชิ้นที่ผู้บริโภคหลงไปกับกลไกอันแยบยลนี้ เท่ากับว่าทุกคนช่วยกันลงขันในค่าใช้จ่ายของกิจกรรมนี้แล้วฝันว่าจะมีโชคกับเขาบ้าง ความจริงส่วนต่างเงินทอนก็ไม่ได้กลับมาที่กระเป๋าเราอยู่ดี  #ไม่ต่างอะไรกับการซื้อสลากชิงรางวัลแล้วมีเศษอาหารมาล่อ #นี่แหละวงจรธุรกิจลิขิตชีวิตจริง
ลงมือทำ เริ่มต้นธุรกิจ 1 กรกฎาคม  2553  ก่อตั้งบริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด  ทุนจดทะเบียนชำระเต็ม 1 ล้านบาท ด้วยวิสัยทัศน์  #แปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรสู่อาหารสากล   สนับสนุนผลผลิตภาคการเกษตรให้ได้คุณค่า ให้ได้ราคา ด้วยการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ควบคู่ไปกับคุณประโยชน์ของสารอาหารแร่ธาตุต่างๆ โดยได้รับความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนองค์กรและหน่วยงานภาครัฐ ให้เป็นแรงผลักดันองค์ความรู้ สร้างสรรค์ สู่นวัตกรรม ตอบสนองความต้องการและเป็น #ทางเลือกให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเข้าถึงคุณค่าที่แท้จริงของอาหารอย่างแท้จริง  จากการฝึกอบรมและเรียนรู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต กระบวนการผลิต การควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย ข้อกำหนดต่างๆ สู่การผลิตต้นแบบ ผลิตภัณฑ์แรก ภายใต้แบรนด์  คูเน่  #ผงปรุงรสหอมหัวใหญ่จากธรรมชาติ ไม่มีผงชูรสและเนื้อสัตว์ ปลอดสารเคมี ซองสีแดง ทำการทดสอบตลาด เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลงานได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการแข่งขันประกวดนวัตกรรมอาหาร Food Innovation Contest   จดอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6247  พร้อมกับเผยข้อมูลคำแนะนำต่างๆ  ให้ผู้บริโภครับรู้หันมาสนใจและใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องปรุงรสที่รับประทานกันอยู่ทุกมื้อ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี  แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้างด้วย #หอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว  ซึงผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์อาหารจากสถาบันอาหาร ได้รับเครื่องหมาย  อย. และ ฮาลาล  ภายใต้มาตรฐานการผลิต GMP  จากการทดสอบความชื้นต่ำกว่า 3 ทั้งที่เครื่องปรุงรสในท้องตลาดมีความชื้นอยู่ที่ 12%   ไปสู่แรงผลักดันให้พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ได้ลงทุนเพิ่มอีก 5 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสูตรโซเดียมต่ำ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ   กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมถึงเข้ารับการสัมมนา รับการปรึกษาแนะนำจาก สวทช. กรมพัฒนาธุรกิจ กรมส่งเสริมการส่งออก #เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพมากขึ้นและเป็นสากล  จากการค้นคว้าพบว่าเครื่องปรุงรสในท้องตลาดมีค่าโซเดียมอยู่ ระหว่าง 1500 – 2850 มิลลิกรัม ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ซึ่งมาตรฐาน อย. ได้กำหนดให้ไม่ควรบริโภคเกินวันละ 2400 มิลลิกรัม ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค นั่นหมายถึงคนไทยกินอาหารโซเดียมสูงกว่า 3 เท่าของขีดจำกัด #เป็นที่มาความความเสี่ยงในการสะสมและความเสื่อมของไต เริ่มจากความดัน .... ดังที่ได้เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้  เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ #Kuu Ne #คูเน่ #ผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ โซเดียมต่ำ ปลอดสารเคมี ปราศจากเนื้อสัตว์ ไม่มีผงชูรส สารเคมีปรุงแต่งกลิ่น และวัตถุกันเสีย ใช้แทนผงชูรส และน้ำสต๊อก (น้ำซุป)  แค่ 1 ช้อนชา ต่อชาม/จาน ในการปรุงอาหาร ต้ม ผัด แกง ทอด หมัก และยำ  ที่สำคัญ 2 in 1  ใช้ปรุงอาหารก็ได้  หรือ ใช้ชงดื่มก็ดีต่อสุขภาพ เพียงปลายช้อนชาต่อน้ำสุกอุ่น 1 แก้ว  ด้วยงานวิจัยพบว่า หอมหัวใหญ่ มีประโยชน์ ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ ต้านสารก่อมะเร็ง อีกทั้งมีกากใยอาหารสูง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ช่วยให้เจริญอาหาร ลดการอักเสบของเซล ช่วยชะลอความชรา  พร้อมกับออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ ให้สื่อได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย พิมพ์ตัวหนังสือเป็นสองภาษา อีกทั้งเพิ่มซิป ให้ง่าย สะดวกใช้ในการเปิดใช้และเก็บรักษา  พร้อมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้การเกาะตัวอย่างเป็นธรรมชาติของหอมหัวใหญ่ลดลงอีก 30%   ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทย และชาวต่างชาติ  ชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ เป็นอย่างดี  พร้อมกับรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม 2556 ที่ผ่านมา ขอกราบขอบพระคุณผู้ให้การสนับสนุน ฯพณฯ องค์มนตรี ภาครัฐ ภาคเอกชน ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงพยาบาล สำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม อุตสาหกรรมอาหาร หน่วยงาน บุคคล คณะบุคคล สมาคม และ สื่อต่างๆ   ที่ช่วยส่งเสริมเอื้อเฟื้อให้โอกาสในการประกอบธุรกิจสีขาว หัวใจสีเขียว  #เราไม่หยุดคิดที่จะคิดค้นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง #เพื่อตอบสนองให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น จากมุมมอง ความคิด ลงมือทำ #เพื่อลิขิตชีวิตเราทุกคนอยู่บนในโลกใบเดียวกันอย่างเป็นสุข และขอขอบคุณที่ติดตามอุดหนุน สนับสนุน ให้กันและกัน จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ให้มีสุขภาพที่ดี  ถึงวันนี้ครบรอบ 4 ขวบปีแล้ว มีหลากหลายผู้คน  ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดเลือก #มาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความเสี่ยงเดิมๆกับประสบการณ์ใหม่ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยกัน  ด้วยแนวคิด  ลูกค้าคุณลูกค้าเรา  สร้างคุณค่าร่วมกัน  ไปด้วยกันกับKuu Ne คูเน่ ... โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว


คมชาญ  เอกเตชวุฒิ 
กรรมการผู้จัดการ
www.ptpfoods.com   www.facebook.com/kuunepage      
            Line id :  OatEcho

คุณค่าที่คุณเลือกได้

Kuu Ne  คูเน่  นวัตกรรม เครื่องปรุงอาหารครบรส โซเดียมต่ำ จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ ปลอดสารเคมี ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เป็นวัตถุดิบหลัก ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง และลดการอักเสบของเซล ช่วยชะลอความชรา  เข้มข้น 3 เท่า (อนุภาคหอมหัวใหญ่ เกาะจับตัวกันเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว) สามารถใช้ชงดื่มเป็นหอมชงปานะ  แทนเครื่องดื่มระหว่างวัน เพียงปลายช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้ว ดื่มเป็นประจำดีต่อสุขภาพ



คูเน่ คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อาหารแบบสโลว์ฟู้ด


เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารจานด่วน พัฒนามาจาก รสนิยมและความจำเป็น ที่ต้องรีบเร่ง แข่งกับเวลา เป็นอาหาร ที่ให้บริการอย่างรวดเร็ว สั่งเร็ว - ได้เร็ว - กินเร็ว (สมกันดีเหลือเกินกับคำว่า "แดกด่วน ยัดเร็ว") หากแต่ขาดความประณีต ในการปรุง ร้านอาหารฟาสต์ฟูด ทำให้คุณค่า ของอาหารเหลือแค่การบริโภค ลดคุณค่า ของรสชาติที่เคยวิไล ให้เหลือเพียงแค่ แฮมเบอร์เกอร์ ผู้ที่บริโภค อาหารฟาสต์ฟูด อาจแทบ ไม่เคยรู้สึก หรือรับรสเลยว่า อาหารจานนั้น อร่อยหรือไม่ มีรสชาติอย่างไร แค่ยัดๆ กินๆ เข้าไป เพื่อที่ จะได้รีบ กลับไปใช้ชีวิต แข่งกับเวลา ที่เดินหน้าไม่เคยรอใคร
ขบวนการสโลว์ฟู้ด จึงให้ความสำคัญ กับศิลปะ ในการปรุงอาหาร ตั้งแต่ การเตรียมส่วนผสม การคัดสรรวัตถุดิบ การปรุงอาหาร แต่ละจาน ด้วยความใส่ใจ ประณีตบรรจง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถสร้างความสุข ให้แก่ผู้ที่ได้ลิ้มลอ งอาหารจานนั้นๆได้ นอกจากนี้ ยังเน้นในเรื่องวัตถุดิบ หรือส่วนผสมที่ใช้ เพราะอาหารที่ดีต้องมีพื้นฐานมาจาก วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ต้องเป็นวัตถุดิบ ที่สดสะอาด นำมาประกอบอาหาร ที่ให้ประโยชน์ทางโภชนาการต่อร่างกาย
แต่หากจะถามว่า สูตรอาหารแบบ สโลว์ฟู้ด ที่แจกแจงว่ามีส่วนผสมอะไรนั้น คงไม่สามารถบอกได้ เนื่องจาก สโลว์ฟู้ด Food เป็นแนวคิด ในการใช้ชีวิต ซึ่งหมายรวมถึง การกินอาหารแต่ละมื้อด้วย สโลว์ฟู้ด ไม่จำเป็น ต้องเป็น อาหารหรู ที่ปรุงอย่างประณีต ตามโรงแรมหรู หรือภัตตาคาร ระดับห้าดาว เสมอไป อาหารที่เรากินในแต่ละวัน สามารถทำให้เป็น สโลว์ฟู้ด ได้ เช่น อาหารง่ายสุดฮิตอย่างแซนด์วิช สามารถ กลายเป็น สโลว์ฟู้ด ได้ โดยการเลือกใช้ ขนมปังโฮลวีตแทนขนมปังขาว สอดไส้ด้วย ไก่อบหรือหมูอบ ที่ผ่านขั้นตอนการปรุง อย่างถูกวิธี ใส่ผักสด สะอาดอย่าง ผักกาดหอมหรือมะเขือเทศ เพิ่มรสชาติอีกนิดด้วยมัสตาร์ด และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ต้องนั่งลง กินอาหารมื้อนั้น ที่โต๊ะ อย่ารีบทาน ค่อยๆดื่มด่ำกับทุกๆรสชาติที่สัมผัสได้ อาจเพิ่มอรรถรสด้วยบทสนทนากับคนรู้ใจ แค่นี้ คุณก็สามารถ รับประทานอาหาร และมีความสุขกับชีวิตแบบ Slow Food ได้
ส่วนร้านอาหารใดจะได้เป็นร้านอาหารแบบ สโลว์ฟู้ด คุณแฟรงค์บอกว่า "ไม่ว่าร้านอาหารใด ก็สามารถเป็นสโลว์ฟู้ด หากรายการ อาหารต่างๆ ที่อยู่ในเมนู วัตถุดิบที่เลือกมาปรุง เป็นวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศ หาได้ในในท้องถิ่น" ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากจะมีของหวาน ซักรายการ ที่ทำจากสตรอเบอร์รี่ คุณสามารถระบุลงไป ให้ลูกค้าทราบได้ว่า สตรอเบอร์รี่ ที่คุณใช้นั้นมาจากเชียงใหม่ ปลูกที่เชียงใหม่ ไม่ใช่ สตรอเบอร์รี่ ที่มาจากชิลี หรือแคลิฟอร์เนีย แต่เป็นสตรอเบอร์รี่ ของประเทศไทย ดังนั้นก็จะสดกว่าเพราะใช้เวลาในการขนส่งน้อยกว่า และควรภูมิใจเพราะเป็นสตรอเบอร์รี่ที่คนไทยปลูกเอง พูดง่ายๆ คือเป็นการสนับสนุนสินค้าเกษตรกรรมในประเทศ
ไม่ว่าร้านอาหารใด ก็สามารถเป็น สโลว์ฟู้ด หากรายการ อาหารต่างๆ ที่อยู่ในเมนู วัตถุดิบที่เลือกมาปรุง เป็นวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศ หาได้ในในท้องถิ่น
นอกจากนี้ผู้ปรุงอาหาร ต้องมีความเป็น สโลว์ฟู้ด คือ ต้องใส่ใจทุกๆรายละเอียด ทุกๆขั้นตอนในการปรุง คำนึงถึงลูกค้า ที่มารับประทาน อาหาร อยากให้พวกเขาได้กินอาหารจานที่รสเลิศที่สุด อร่อยที่สุด มีความสุขจากอาหารที่คุณปรุง .. หรือหากคุณอยากทำอาหารแบบ สโลว์ฟู้ด ทานที่บ้าน คุณก็สามารถทำได้ โดยการใส่ใจเวลา ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เลือกซื้อของ ให้สังเกตสักนิดว่า สิ่งที่คุณจะซื้อนั้น ผลิตใน ประเทศไทย หรือเปล่า ปลอดสารพิษมั้ย ผ่านการตรวจสอบที่ถูกต้องหรือเปล่า แล้วนำกลับมาปรุงอย่างใส่ใจ .. ใช่ครับคำนี้ ใส่ใจ .. จากนั้น คุณก็มีความสุข กับอาหารที่คุณทำ กับสมาชิกในครอบครัว .. ไม่ว่าใคร ไม่ว่าอาหารร้านใดสามารถเป็น สโลว์ฟู้ด คุณทำได้ครับ และผมอยากจะ สนับสนุนความคิดนี้ ให้คนไทยได้รับรู้และปฏิบัติกัน"
taste_of_slow
ดังนั้น อาหารแบบ สโลว์ฟู้ด จึงเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ (หรืออย่างที่ชาวตะวันตกเรียกว่ามี taste) มีรสชาติ ที่เป็นจุดเด่น ของชาติ หรือท้องถิ่นนั้นๆ ใช้วัตถุดิบที่ผลิต และหาได้ในท้องถิ่น ได้รับการปรุงอย่างประณีต ใส่ใจ ในทุกๆ รายละเอียด ทุกขั้นตอน และการกิน อาหาร แบบ สโลว์ฟู้ด เป็นการกินอาหารที่ผู้กินสามารถลิ้มลองสัมผัส และมีความสุขกับอาหารที่กินได้อย่างแท้จริง
ด้วยอารยธรรมอุตสาหกรรม เราต่างตกเป็นทาส ของความรวดเร็ว และยอมจำนน ต่อเชื้อไวรัส ร้ายกาจ ตัวเดียวกัน นั่นก็คือชีวิตที่รีบร้อน ซึ่งได้รบกวน รุกล้ำเข้าไป ในชีวิตส่วนตัว และบังคับเรา ให้รับประทานอาหารอย่าง "แดกด่วน ยัดเร็ว"
ศตวรรษของเราเริ่มต้น และพัฒนาขึ้น ด้วยอารยธรรมอุตสาหกรรม เราต่างตกเป็นทาส ของความรวดเร็ว และยอมจำนน ต่อเชื้อไวรัส ร้ายกาจ ตัวเดียวกัน นั่นก็คือชีวิตที่รีบร้อน ซึ่งได้รบกวน รุกล้ำเข้าไป ในชีวิตส่วนตัว และบังคับเรา ให้รับประทานอาหารอย่าง "แดกด่วน ยัดเร็ว" เพื่อให้สมศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ เราจึงควรปลดปล่อย ตัวเองจากความเร่งร้อน ก่อนที่ความเร่งร้อน จะทำให้ชีวิตของเราหมดคุณค่าลง การป้องกันที่ดี ควรเริ่มต้นที่โต๊ะอาหาร ด้วยการรับประทานแบบ สโลว์ฟู้ด ซึ่งจะทำ ให้เราได้ค้นพบ รสชาติอาหาร ที่แท้จริง และ ลักษณะเฉพาะ ของอาหาร แต่ละประเภทอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็น การสืบสานศิลปะ การปรุงอาหารแบบดั้งเดิม รวมทั้งขจัดผลกระทบ ของอาหารฟาสต์ฟูด ที่นับวันจะก่อให้เกิดแต่ผลเสียต่อร่างกายและการใช้ชีวิต        ที่มา :  กินเปลี่ยนโลก http://www.food4change.in.th/

เมื่อไม่นานมานี้มีผู้สื่อข่าวโทรศัพท์มาพูดคุยว่าอยากได้วิทยากรที่สามารถให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องสโลว์ฟู้ดส์ (Slow Foods) จึงถามกลับไปว่าสโลว์ฟู้ดส์ที่พูดถึงสะกดอย่างไร เนื่องจากไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เลยถึงบางอ้อว่าก็ Slow ที่แปลว่าช้า ตรงกันข้ามกับคำว่าฟาสต์ Fast) ที่แปลว่าเร็ว
เมื่อได้สอบถามนักวิชาการหลายท่านก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก โดยมองว่าเป็นเพียงกระแสด้านสุขภาพ ซึ่งความจริงแล้วในวงการสุขภาพหรือวงการโภชนาการก็จะมีกระแสต่างๆ เข้ามาเรื่อยๆ แม้นักโภชนาการจะให้คำแนะนำว่าการกินอาหารตามโภชนบัญญัติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพแล้วก็ตาม แต่กระแสต่างๆ ก็เข้ามาเรื่อยๆ เป็นต้นว่าที่ผ่านมามีกระแสของเรื่องกินตามธาตุ กินตามกรุ๊ปเลือด น้ำอาร์.ซี. น้ำลูกยอ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดต่างๆ เป็นต้น ทำให้คนเราต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้รู้ทันและเข้าใจ ทั้งนี้ก็เพื่อกินสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพนั่นเอง
อาหารฟาสต์ฟู้ดส์เป็นอาหารที่ต้องการความรวดเร็ว ทำง่ายๆ กินเร็วๆ ไม่พิถีพิถัน ส่วนใหญ่เรามักจะนึกถึงอาหารตะวันตก เช่น แซนด์วิช ฮอตดอก แฮมเบอร์เกอร์ พิซซา เป็นต้น อาหารเหล่านี้เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าทางโภชนาการพบว่าเป็นอาหารที่มีสัดส่วนของสารอาหารไม่ดี คือให้พลังงานสูง โปรตีนและไขมันสูง ให้เส้นใยอาหารต่ำ จะเห็นได้ว่ามีผักเป็นส่วนประกอบน้อยมาก และบางคนเมื่อกินก็ยังเขี่ยผักออก ยิ่งในปัจจุบันนักวิชาการด้านโภชนาการของประเทศทางตะวันตกเองก็วิตกกังวลกันมาก เมื่อพบว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศตนมีภาวะโภชนาการเกินมากขึ้น อีกทั้งอาหารฟาสต์ฟู้ดส์เหล่านี้นับวันขนาดของชิ้นอาหารก็ใหญ่ขึ้น ทำให้คนกินได้รับพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ประเทศชาติต้องสูญเสียเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในการรักษาดูแลผู้ที่มีปัญหาโภชนาการเกินจนเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าอ้วน ไขมันในเลือดสูง หัวใจขาดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาดูแลยาก และใช้เวลาในการรักษาเป็นระยะเวลานาน
นอกจากนี้คนบางกลุ่มมีความเห็นว่าการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ทำให้คนเราขาดความละเมียดละไม ขาดความพิถีพิถัน มีชีวิตที่รีบเร่ง ประกอบกับอาหารฟาสต์ฟู้ดส์มีสัดส่วนของสารอาหารที่ไม่สมดุล ทำให้คนที่นิยมกินอาหารเหล่านี้เป็นประจำเกิดปัญหาสุขภาพ ส่งผลให้มีการรวมกลุ่มกันของคนไม่ชอบและปฏิเสธอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ก่อตั้งสมาคมอาหารสโลว์ฟู้ดส์ขึ้นเป็นครั้งแรกในอิตาลีเมื่อ พ.ศ. 2529 แล้วจึงกระจายออกไปยังประเทศต่างๆ แม้แต่ในประเทศไทย
สโลว์ฟู้ดส์เป็นรูปแบบของการกินอาหารที่คิดค้นขึ้นโดยนักหนังสือพิมพ์ชาวอิตาเลียนชื่อคาร์โล เปตรินี (Carlo Petrini) เนื่องจากในช่วงปี พ.ศ. 2529 ในประเทศอิตาลีได้มีร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดส์เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทำให้คาร์โลซึ่งเป็นคนไม่นิยมการกินอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดส์และไม่นิยมใช้ชีวิตเร่งรีบชักชวนเพื่อนที่มีแนวคิดเหมือนกันมาร่วมก่อตั้งสมาคมสโลว์ฟู้ดส์ขึ้น โดยกลุ่มคนในสมาคมนี้มีแนวคิดที่เหมือนกัน คือให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกิน การอนุรักษ์และส่งเสริมอาหารท้องถิ่น ให้ความสำคัญกับศิลปะในการปรุงอาหาร คือเลือกกินอาหารที่ปลูกหรือผลิตในท้องถิ่นที่อาศัย โดยมีความเห็นว่าจะได้อาหารที่มีความสดมากกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลากับการขนส่ง และพืชผักที่ปลูกในท้องถิ่นมักไม่มีการใช้สารเคมี ปลูกในปริมาณที่ไม่มากนัก นอกจากนี้ผู้ผลิตอาหารสโลว์ฟู้ดส์จะใส่ใจในทุกขั้นตอนของการผลิตอาหาร มีความสุขในขณะปรุง อาหารทุกจานที่ผลิตได้จึงมีรสชาติอร่อย และใส่ใจจนถึงขั้นตอนที่ลูกค้ามากินอาหาร อาหารสโลว์ฟู้ดส์จึงเป็นอาหารที่มีศิลปะ มีความประณีต ต่างจากอาหารในปัจจุบันที่ผลิตในปริมาณมากๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
สมาคมหรือชมรมอาหารสโลว์ฟู้ดส์ได้เลือก “หอยทาก” เป็นสัญลักษณ์ของสมาคม ด้วยเหตุผลว่าหอยทากเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่เร่งรีบ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ค่อยๆ คืบค่อยๆ คลานไปเรื่อยๆ ดูมีความสุข การกินอาหารก็ไม่เร่งรีบ เหมือนกับคนในสมาคมสโลว์ฟู้ดส์ ดังนั้นหากต้องการกินอาหารสโลว์ฟู้ดส์ก็ให้สังเกตสัญลักษณ์หอยทาก เพราะร้านอาหารหรือภัตตาคารที่ขายอาหารสโลว์ฟูดส์จะแสดงสัญลักษณ์รูปหอยทากให้เห็น
การแพร่กระจายของสมาคมอาหารสโลว์ฟู้ดส์ไปยังประเทศต่างๆ ยังเป็นไปอย่างไม่รวดเร็วนัก ปัจจุบันมีรายงานว่าสมาคมนี้มีสมาชิกประมาณ 80,000 คน กระจายอยู่ใน 100 ประเทศ โดยเปิดสำนักงานในสวิสเซอร์แลนด์เมื่อปี พ.ศ. 2538 ส่วนในเยอรมนีเปิดสำนักงานใน พ.ศ. 2541 เปิดในอเมริกาปี พ.ศ. 2543 ในฝรั่งเศสปี พ.ศ. 2546 และในญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2548 โดยสมาคมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดำรงและส่งเสริมอาหารท้องถิ่น ซึ่งครอบคลุมทั้งกระบวนการทำอาหารและอนุรักษ์ความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารท้องถิ่น ตลอดจนส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องของรสชาติอาหาร ทั้งนี้ใน พ.ศ. 2547 คาร์โล เปตรินี และแมสซิโม มอนตานารี ได้ร่วมกันเปิดการเรียนการสอนเกี่ยวกับบริโภคศาสตร์ที่ประเทศอิตาลี เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงการกินอาหารที่ดีและการมีโภชนาการที่ดี สำหรับประเทศไทย อาหารสโลว์ฟู้ดส์ยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยนัก เพราะเพิ่งเริ่มเข้ามาในเมืองไทย โดยผู้ที่นำสโลว์ฟู้ดส์เข้ามาเผยแพร่ในเมืองไทยคือแฟรงค์ แกรสมันน์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มที่โรงแรมดุสิตธานี ในขณะนี้หากคุณผู้อ่านสนใจและต้องการกินอาหารสโลว์ฟู้ดส์น่าจะหากินได้ยากหน่อย เพราะในเมืองไทยเท่าที่ทราบมีเพียง 2 แห่ง คือที่โรงแรมดุสิตธานี และอีกแห่งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต
คนยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่มีเวลาสำหรับการดูแลตนเองน้อยลง นำเรื่องของเศรษฐกิจเรื่องของเงินมาเป็นตัวกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง ต้องทำงานทำมาหากินเพื่อให้ได้เงินมากๆ เพื่อซื้อความสุขของตนเองและครอบครัว ทำให้เวลาที่จะใส่ใจในเรื่องอาหารการกินมีน้อยลง กินอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องใช้เวลามาก อีกทั้งกินเพียงเพื่อดับความหิวเท่านั้น กลุ่มคนในสมาคมสโลว์ฟู้ดส์จะมองตรงข้าม โดยจะให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกิน ซึ่งในมุมมองของผู้เขียนจะนึกถึงสังคมไทยยุคเก่าๆ จะเห็นได้ว่าอาหารในสมัยที่ย้อนกลับไปสัก 50-60 ปีที่ผ่านมาน่าจะจัดเป็นสโลว์ฟู้ดส์ได้เช่นกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน อยากให้คุณผู้อ่านย้อนนึกไปถึงกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานในสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เพราะมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการปรุงอาหารทั้งคาวหวาน อีกทั้งสังคมไทยในสมัยก่อนพืชผักสวนครัวก็มีอยู่ในบริเวณบ้าน ไม่เช่นนั้นก็มีการแลกเปลี่ยนกัน การปรุงอาหารมีความประณีตหลากหลายเพราะกินเป็นสำรับ และยังมีรายละเอียดว่าอาหารอะไรกินกับอะไรจึงจะเข้ากันและอร่อย กินของคาวเสร็จแล้วต้องกินผลไม้หรือขนมหวานตบท้าย เป็นต้น และในแต่ละภาคแต่ละท้องถิ่นของไทยก็ยังมีอาหารพื้นบ้านของตนเอง เช่น ภาคใต้มีแกงเหลือง แกงไตปลา, ภาคเหนือมีน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม, ภาคอีสานมีส้มตำ แกงอ่อม, ภาคกลางมีน้ำพริกกะปิปลาทู แกงเขียวหวาน ซึ่งล้วนมีรสชาติอร่อยและต้องใช้ความประณีตใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่วัตถุดิบ
ในด้านโภชนาการ สโลว์ฟู้ดส์น่าจะมีข้อดีตรงที่ได้กินอาหารที่เป็นธรรมชาติ กินอาหารในท้องถิ่นซึ่งมีความสดและคงไว้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าอาหารที่ต้องขนส่งมาจากที่ไกลๆ ซึ่งจะทำให้คุณค่าทางโภชนาการสูญเสียไปในระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะวิตามิน นอกจากนี้ในเรื่องความปลอดภัยของอาหาร หากเป็นพืชผักท้องถิ่นอาจไม่ใช้หรือใช้สารเคมีน้อยกว่าพืชที่ปลูกในฟาร์มใหญ่ อาหารที่มีความพิถีพิถันในการปรุงเพื่อกินเพียงมื้อเดียวไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีประเภทสารกันบูด กันเชื้อรา จึงทำให้ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ในมุมมองของผู้เขียน การกินอาหารสโลว์ฟู้ดส์ตามแบบดั้งเดิมของผู้ก่อกำเนิดโดยไม่มีการดัดแปลงอาจเป็นเรื่องยากลำบากในสังคมที่ไม่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจนัก แต่เราอาจเลือกข้อดีบางอย่างในอาหารสโลว์ฟู้ดส์มาใช้ เช่น การกินอาหารสด กินอาหารท้องถิ่น เป็นต้น
สำหรับคนไทยแล้ว เรามีรูปแบบอาหารที่ดีทั้งในด้านความหลากหลายในเรื่องของรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ การกินอาหารแบบไทยๆ โดยพยายามดัดแปลงให้เหมาะสมกับแต่ละคนแต่ละครอบครัวน่าจะเป็นสิ่งที่ดี โดยควรให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยและกินให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ด้วย ที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกาย เท่านี้คุณก็สามารถสร้างสุขภาพดีให้กับตัวเองได้

   ที่มา :  http://www.gourmetthai.com/newsite/nutrition/nutrition_detail.php?content_code=CONT372

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นวัตกรรม แปรรูปอาหารจากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ ปลอดสารเคมี





ข้อมูลเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ Kuu Ne คูเน่ เครื่องปรุงครบรส จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ


เกล็ดเล็กๆ กับการสร้างความสุขให้ชีวิต

"คนที่มีความสุขที่สุด ดูเหมือนจะเป็นคนประเภทที่ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษที่จะต้องมีความสุข พวกเขาแค่เลือกที่จะมีความสุขเท่านั้นเอง"
ถ้าเราอยากสร้างสรรค์ความสุขให้กับชีวิตตนเอง เราก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจและปรับปรุงแบบมุมมองความคิดของเราเสียก่อน ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องของการเลือกที่จะมองเท่านั้นเอง คนที่เลือกจะมองคนอื่นในแง่ร้าย ก็จะมีแต่น้ำขุ่นๆ อยู่ในใจของเขาเอง แต่คนที่เลือกจะมองคนอื่นและสิ่งต่างๆ ในแง่ดี ในใจก็ย่อมจะมีแต่น้ำใสๆ ที่นำความฉ่ำเย็นมาสู่จิตใจได้ตลอดไป

การรับของขวัญ

ทุกครั้งที่รับของขวัญของฝากจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยหรือของขวัญชิ้นใหญ่เท่าใด หน้าที่ของคนที่เป็นผู้รับจะต้องแสดงความยินดีที่ได้รับและแสดงความชื่นชมต่อสิ่งของนั้น และแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจด้วยท่าทีที่มีความยินดีปรีดาเป็นพิเศษ เพราะการแสดงออกเช่นนั้นแหละคือสิ่งสำคัญที่ผู้รับของขวัญแสดงตอบกลับไปให้กับผู้ให้ การแสดงออกของผู้รับที่มีความสุขจะทำให้ผู้ให้รู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขด้วยเช่นกัน ไม่ใช่คุณจะมีความสุขใจแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่คุณยังเรียนรู้ที่จะรักและเรียนรู้ที่จะมอบความสุขกลับไปให้กับตัวผู้ให้อีกด้วย อย่าเพียงแต่กล่าวคำขอบคุณตามมารยาทสังคมเท่านั้น แต่จงแสดงความกระตือรือร้นและความปลาบปลื้มใจในการรับของขวัญชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ทุกๆ ชิ้นเสมอไป
เหตุแห่งความสุขที่แท้จริง
ผู้ทำดีย่อมได้ดี ผู้ทำชั่วย่อมได้ชั่ว
๏ สิ่งปรารถนาของมนุษย์

อันความสุขย่อมเป็นที่ปรารถนาของคนทุกๆ คน และทุกๆ คนย่อมเคยประสบความสุขมาแล้ว ความสุขเป็นอย่างไร จึงเป็นที่รู้จักกันอยู่ ในเวลาที่กายและจิตใจอิ่มเอิบ สมบูรณ์ สบาย ก็กล่าวกันว่าเป็นสุข ความสุขจึงเกิดขึ้นที่กายและใจนี่เอง


๏ ความสุขทางร่างกาย

สำหรับกายนั้น เพียงให้เครื่องอุปโภคบริโภคพอให้เป็นไปได้ก็นับว่าสบาย แม้กายสบายดังกล่าวมานี้ ถ้าจิตไม่สบาย กายก็พลอยซูบซีดเศร้าหมองด้วย

ส่วนกายเมื่อไม่สบายด้วยความเจ็บป่วย หรือด้วยความคับแค้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าจิตยังร่าเริงสบายอยู่ ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นร้อนเท่าใดนัก และ ความไม่สบายของกายก็อาจบรรเทาไปได้ เพราะเหตุนี้ความสุขจิตสุขใจนั่นแลเป็นสำคัญ
๏ ความสุขทางจิตใจ
อันความสุขทางจิตใจนี้ คิดๆ ดูก็เห็นว่าหาได้ไม่ยากอีก เพราะความสุขอยู่ที่จิตใจของตนเอง จักต้องการให้จิตเป็นสุขเมื่อใดก็น่าจะได้ ใครๆ เมื่อคิดดูก็จักตองยอมรับว่าน่าคิดเห็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องยอมจนอีกว่า สามัญชนทำไม่ได้เสมอไป เพราะยังต้องการเครื่องอุปกรณ์แห่งความสุข มีเงินทอง เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นต้น

ถ้าเครื่องอุปกรณ์แห่งความสุขขาดไป หรือมีไม่เพียงพอ ก็ทำให้เป็นสุขมิได้ นี้เรียกว่ายังต้องปล่อยใจให้เป็นไปตามเหตุการณ์อยู่ ข้อนี้เป็นความจริง เพราะเหตุฉะนี้ ในที่นี้จึงประสงค์ความสุขที่มีเครื่องแวดล้อม หรือที่เรียกว่า สุขสมบัติ อันเป็นความสุขขั้นสามัญชนทั่วไป


๏ ความสุขอยู่ที่ไหน ?

คิดดูเผินๆ ความสุขนี้น่าจักหาได้ไม่ยาก เพราะในโลกนี้มีเครื่องอุปกรณ์แห่งความสุขแวดล้อมอยู่โดยมาก หากสังเกตดูชีวิตของคนโดยมากที่กำลังดำเนินไปอยู่ จักรู้สึกว่าตรงกันข้ามกับที่คิดคาด ทั้งนี้มิใช่เพราะเครื่องแวดล้อมอุดหนุนความสุขในโลกนี้มีน้อยจนไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะผู้ขาดแคลนความสุขสมบัติไม่ทำเหตุอันเป็นศรีแห่งสุขสมบัติ จึงไม่ได้สุขสมบัติเป็นกรรมสิทธิ์ ส่วนผู้ที่ทำเหตุแห่งสุขสมบัติ ย่อมได้สุขสมบัติมาเป็นกรรมสิทธิ์ เพราะเหตุนี้ ผู้ปรารถนาสุขจึงสมควรจับเหตุให้ได้ก่อนว่า อะไรเป็นเหตุของความสุข และอะไรเป็นเหตุของความทุกข์
๏ เหตุแห่งความสุข และเหตุแห่งความทุกข์
บางคนอาจเห็นว่า เหตุของความสุขความทุกข์อยู่ภายนอก คือสุขเกิดจากสิ่งภายนอก มีเงินทอง ยศ ชื่อเสียง บ้านที่สวยงาม เป็นต้น ส่วนความทุกข์ก็เกิดจากสิ่งภายนอกนั้นเหมือนกัน บางคนอาจเห็นว่าความสุขความทุกข์เกิดจากเหตุภายใน


๏ เงื่อนไขของความสุข

สิ่งภายนอกโดยมากถ้าเป็นส่วนที่ดี มีเงินทอง ยศชื่อเสียง เป็นต้น ก็เป็นที่ปรารถนาตรงกันของคนเป็นอันมาก จึงต้องมีการแสวงหาแข่งขั้นกันโดยทางใดทางหนึ่ง เมื่อได้มาก็ให้เกิดความสุขเพราะสมปรารถนาบ้าง เพราะนำไปเลี้ยงชีพตน และผู้อื่นให้อิ่มหนำสำราญบ้าง สิ่งภายนอกย่อมอุดหนุนความสุขฉะนี้

แต่สิ่งภายนอกเป็นของไม่ยั่งยืน แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ความสุขที่เกี่ยวเกาะติดอยู่ก็ต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์จึงปรากฏขึ้นติดๆ กันไปทีเดียว ความสุขเช่นนี้เป็นความสุขที่ลอยไปลอยมา หรือเรียกว่าเป็นความสุขลูกโป่ง และในความแสวงหา ถ้าไม่ได้หรือได้สิ่งที่ไม่ชอบก็ให้เกิดความทุกข์ เพราะไม่สมปรารถนา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช