ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พลังของธรรมชาติในสวนเพื่อการบำบัดช่วยเยียวยาผู้ป่วย

โยโย่ คอดิล เด็กชายอายุเจ็ดขวบกับแม่แอนนาต้องมาโรงพยาบาล Johns Hopkins ในบัลติมอร์บ่อยครั้ง

คุณแอนนา คอดิล กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าวันนี้มาโรงพยาบาลเพราะลูกชายต้องเข้ารับการรผ่าตัดทวารใหม่ โยโย่เป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุห้าวัน
 

เธอบอกว่าเมื่อหมออนุญาติให้โยโย่ลุกเดินไปมาได้ ลูกชายจะเดินไปที่สวนของโรงพยาบาลทันที สวนนี้เรียกว่า Little Prince Garden ซึ่งเป็นพื้นที่ภายนอกอาคารที่ได้รับการออกแบบตามเรื่องราวในหนังสือเด็กแนวคลาสสิก ในสวนแห่งนี้ โยโย่จะปีนป่ายก้อนลูกอุกาบาทที่ทำจากไฟเบอร์กลาส โยนนกพลาสติกให้บินข้ามประติมากรรมเเขวนแนวยุคเพื่ออนาคตและชมดอกไม้พันธุ์ต่างๆที่เลือกมาปลูกสำหรับเด็กๆโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นดอกทานตะวัน ดอกโฮย่าลูกศรหรือ shooting stars และดอกกุหลาบชนิดต่างๆ

คุณแอนนา คอดิล กล่าวว่า สวนเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจแก่คนไข้ ระยะเวลาที่คนใข้เด็กใช้ในสวน ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาจะได้พักจิตใจจากความเครียดจากการรักษาพยาบาล

ด้านคุณแพททริส บริลสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์ผู้ป่วยเด็กที่โรงพยาบาล Johns Hopkins กล่าวว่าการได้พักผ่อนหย่อนใจในสวนสำคัญมาก โดยเฉพาะคนไข้เด็กเพราะการรักษาตัวในโรงพยาบาลสร้างความเครียดแก่เด็ก

เธอบอกว่าการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็ก เด็กๆเกิดความกลัวต่างๆนานาเมื่อต้องมาโรงพยาบาล นี่ทำให้โรงพยาบาลและหน่วยงานบริการด้านสุขภาพต่างพยายามหาทางลดความกลัวในเด็กด้วยการปรับสภาพแวดล้อม สวนบำบัดในโรงพยาบาลจึงช่วยให้เด็กได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ได้จับต้นไม้ต้นหญ้า ดูนก ชมผีเสื้อ และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่เกิดขึ้นในสวน

สวน Little Prince Garden เป็นหนึ่งในสวนบำบัดสวนแห่งของโรงพยาบาล Johns Hopkins สวนทั้งสามแห่งเปิดให้ทุกคนได้เข้าไปชมตั้งแต่คนไข้ทั้งเด็กถึงผู้ใหญ่ สมาชิกครอบครัวของคนไข้และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล

สวนบำบัดทั้งสามจุดของโรงพยาบาล Johns Hopkins ออกแบบโดยคุณซูซาน ไวเล่อร์ เธอกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า

คุณไวเลอร์กล่าวว่าสวนบำบัดในโรงพยาบาลและคลีนิคเพิ่งมีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่แนวคิดในการใช้สวนเพื่อการฟื้นฟูมีมาแต่โบราณ อย่างสวนแขวนยุคบาบีลอนเมื่อหกพันปีก่อนคริสตกาล สวนของชาวเมโสโปเตเมียและชาวเมดิเตอร์เรเนียนทั้งในช่วงวัฒนธรรมที่ต่างกันไปตามศาสนาทั้งคริสตศาสนาและอิสลาม

นอกเหนือไปจากพันธุ์ไม้ที่เลือกสรรมาเพื่อสร้างความรู้สึกถึงแสง การได้ยินเสียงและการได้กลิ่นแล้ว ยังมีการใช้น้ำทั้งในรูปของสระน้ำและน้ำพุ การจัดวางตำแหน่งก็มีความสำคัญอย่างมากในสวนเพื่อการบำบัดฟื้นฟู คุณไวเลอร์กล่าวว่าองค์ประกอบทุกอย่างในสวนบำบัดมีจุดประสงค์เพื่อการช่วยฟื้นฟูทั้งหมด

เธอกล่าวว่าสวนบำบัดต้องจัดให้มีมีแสงอาทิตย์ส่องอย่างเพียงพอ มีร่มเงาเหมาะสม มีสีสันเเละการจัดองค์ประกอบตั้งแต่ระดับคลุมพื้นดินไปจนถึงระดับต้นไม้ มีสีสันที่ผสมผสานกัน ไม่ใช้สีเดียวโดดๆ สีขาวกับสีน้ำเงินมีผลช่วยผู้ป่วยคลายความเครียดลง และเธอบอกว่าหากจัดสวนได้อย่างเหมาะสม เหมาะเจาลงตัว พลังธรรมชาตินี้จะช่วยเยียวยาจิตใจผู้ป่วยได้อย่างไม่น่าเชื่ิอ


วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผลการวิจัยเรื่องการนอนหลับกับการทำงานของสมอง

ผลการวิจัยเรื่องการนอนหลับกับการทำงานของสมองย้ำถึงความสำคัญของการนอนต่อสุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บของคนเรา
มีคำตอบหลายคำตอบด้วยกันว่าการนอนมีความสำคัญต่อคนเราและสมองของเราอย่างไร งานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาให้คำตอบที่ละเอียดมากขึ้น และอาจช่วยให้มีวิธีใหม่ๆในการบำบัดโรคที่เกี่ยวกับสมอง เช่นโรคสมองเสื่อม หรือ Alzheimer’s ได้ด้วย

นักวิจัยของมหาวิทยาลัย Rochester ในรัฐนิวยอร์ค บอกว่า ขณะที่เรานอนหลับนั้น สมองไม่ได้พักผ่อนนอนหลับด้วย หากแต่ทำงานอย่างหนักเพื่อกำจัดของเสียที่จะเป็นอันตรายต่อสมองได้ออกไป

นักวิจัยศึกษาสมองของหนูในห้องทดลอง ด้วยการฉีดสีย้อมเรืองแสงเข้าไปในของเหลวที่หล่อเลี้ยงสมองและลำไขสันหลัง ซึ่งช่วยให้ติดตามดูการทำงานของสมองได้

นักประสาทวิทยา Dr. Maiken Nedergaard หัวหน้าทีมวิจัย บอกว่า สมองมีหน้าที่ทำงานที่โดดเด่นสองหน้าที่ด้วยกัน คือ เวลาเราตื่น แซลล์สมองทำงานอย่างหนักในการประมวลผลข้อมูลรอบๆตัวเรา แต่ในขณะที่เรานอนหลับ แซลล์สมองก็ทำงานอย่างหนักด้วย เพื่อกำจัดของเสียที่สะสมขึ้นมาในช่วงเวลาที่เราตื่น

นักวิจัยเรื่องสมองกับการนอน บอกว่า ของเสียนั้นมีสารพิษที่ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม หรือ Alzheimer’s disease และโรคทางประสาทอื่นๆได้ นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ในการนอนหลับนั้น แซลล์สมองหดตัวลง เพื่อเปิดทางให้กำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และว่าของเสียที่ถูกกำจัดออกจากสมอง เคลื่อนไปอยู่ในตับ ซึ่งเป็นที่ที่สารพิษถูกย่อยทำลายในที่สุด

นักวิจัยผู้นี้บอกต่อไปว่า ผลของการศึกษาวิจัยชี้แนะว่า เราจะต้องนอนหลับ เพราะเรามีระบบทำความสะอาดขนาดจิ๋วที่กำจัดของเสียที่มีพิษออกจากสมองของเรา และว่าขั้นต่อไปของงานวิจัย คือการศึกษาการทำงานของสมองของคนเรา และว่าผลการวิจัยเท่าที่ได้ ชี้แนะถึงความสำคัญของการนอนต่อสุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งวันหนึ่ง อาจช่วยในการพัฒนาวิธีบำบัดรักษาโรคต่างๆที่เกี่ยวกับประสาทได้

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาหารจานด่วน กินไวตายเร็ว


      อาหารจานด่วน (Fast Food) คือ อาหารที่ปรุงเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว หรือทันเวลาพอดี (Just-in-time) และพร้อมกินได้ทันที ซึ่งโดยทั่วไปคนมักจะนึกถึงแต่อาหารจานด่วนของฝรั่งจำพวก พิซซ่า ไก่ทอด แฮมเบอร์เกอร์ ฮอทดอก ฯลฯ หากความจริงแล้วอาหารไทยบางประเภท ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาหารจานด่วนด้วยเหมือนกัน เช่น ข้าวราดแกง อาหารตามสั่งทุกชนิด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำยา สุกี้ เป็นต้น ซึ่งอาหารดังกล่าวล้วนมีกรรมวิธีในการปรุงที่รวดเร็วและพร้อมกินได้เลย

          อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีประโยชน์ครบถ้วนมากนัก หากรู้จักเลือกกินให้เหมาะสมก็พอจะให้คุณค่าทางโภชนาการอยู่บ้าง โดยเฉพาะอาหารจานด่วนของไทย 

          ส่วนอาหารขยะ (Junk Food) คือ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย หรือแทบไม่มีเลย เรียกว่าอาหารพลังงานสูญเปล่า นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังก่อให้เกิดท็อกซินสะสมในร่างกายอีกด้วย เพราะอาหารประเภทนี้มักจะมีโซเดียมหรือเกลือ น้ำตาล พลังงาน หรือไขมันอย่างใดอย่างหนึ่งในปริมาณที่สูง แต่มีสารอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน เกลือแร่น้อยมาก เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวกรุบกรอบ ลูกอม หมากฝรั่ง โดนัท ไอศกรีม ขนมหวานต่าง ๆ รวมทั้งอาหารที่ทอดด้วยความร้อนสูงอย่างมันฝรั่งทอดกรอบ ฉะนั้นการกินเป็นประจำ หรือกินปริมาณมาก จะก่อโทษกับร่างกายได้

หลากโรคที่แฝงมากับความเร็ว

           โรคอ้วน ผลเสียที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากการกินอาหารจานด่วน คือน้ำหนักเพิ่มขึ้น และเมื่อกินบ่อย ๆ ก็จะก่อให้เกิดโรคอ้วน และอีกสารพัดโรคตามมา 

           โรคกระดูกข้ออักเสบ น้ำหนักส่วนเกินจากการสะสมไขมัน และน้ำตาล จะทำให้กระดูกสันหลัง ข้อสะโพก และข้อเข่าล้า และมีผลทำให้กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพ ช่องข้อต่อจะหดแคบลง และกระดูกข้อต่อจะบดทับกัน 

           โรคหัวใจ เมื่อกินอาหารที่มีไขมันบ่อย ๆ จะทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งอาจทำให้มีการสะสมลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดง 

           ความดันโลหิต ความเค็มปริมาณสูงจากอาหารดังกล่าว หากสะสมในร่างกายเยอะ ๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิต และโรคไตค่อนข้างสูง 

           โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการสะสมไขมัน โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง 

           โรคตับ การสะสมไขมันในตับ อาจทำให้เกิดโรคตับแข็งได้ 

           โรคเบาหวาน ผู้ที่มีไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องมากเกินไป มักเกิดภาวะต้านอินซูลิน ทำให้มีการสะสมกลูโคสในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ และภาวะแทรกซ้อนประการหนึ่งคือการทำลายหลอดเลือดในจอตา อันจะทำให้ตาบอดได้ 

           ภาวะไขมันในเลือดสูง คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นประจำ จะมีระดับไขมันในเลือดมากกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีโอกาสเป็นเส้นเลือดในสมองอุดตัน 

           หลอดเลือดพิการ เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยแป้งขาว ไขมัน และน้ำตาล เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไขมันเกาะที่ผนังหลอดเลือด 

เลือกกินฟาสต์ฟู้ดให้ได้คุณค่าทางโภชนาการ

          เพื่อไม่ต้องเสี่ยงกับสารพัดโรคที่มากับอาหารจานด่วนแบบเดิม ๆ เรามีทางเลือกเพื่อสุขภาพให้ดังนี้ค่ะ

 ประเภทฟาสต์ฟู้ด : ปลาและมันฝรั่งทอด 

          ผลเสียที่เกิดกับร่างกาย : แม้ร่างก่ายจะได้รับวิตามินบี 6 บี 12 โปรตีนคาร์โบไฮเดรตสูง และโพแทสเซียมอยู่บ้าง ทว่าอาหารจานนี้ก็มีไขมันสูง ใยอาหารน้อย มีวิตามินเอ ซี ดี โฟเลต และเบต้าแคโรทีนต่ำ ให้ไขมันร้อยละ 30-50 ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน

          ทางเลือกเพื่อสุขภาพ : ขนมปังโฮลวีท กับสลัดผักกาดแก้ว มะเขือเทศ หอม น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาว เป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ แต่มีวิตามินซี ดี โฟเลต และเบต้าแคโรทีนสูง

 ประเภทฟาสต์ฟู้ด : แซนด์วิชกับแอปเปิ้ล 1 ผล

          ผลเสียที่เกิดกับร่างกาย : หากใช้เนื้อสัตว์คลุกน้ำสลัดข้นมายองเนสกับขนมปังทาเนย คุณจะได้พลังงาน 2 เท่าและไขมัน 3 เท่าของแซนด์วิชปลาทูน่า 

          ทางเลือกเพื่อสุขภาพ : อาหารจานนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของขนมปัง ส่วนประกอบและปริมาณไส้ของแซนด์วิช หากคุณใช้ขนมปังโฮลวีท ไส้ปลาทูน่ากับผักกาดแก้ว และแอปเปิ้ลไม่ปอกเปลือก คุณจะได้รับคุณค่าทางอาหารมากกว่า

 ประเภทฟาสต์ฟู้ด : พิซซ่า

          ผลเสียที่เกิดกับร่างกาย : อาหารจานนี้ให้พลังงานและไขมันสูง แต่โปรตีนต่ำ  บางครั้งมีเกลือโซเดียมสูง ถ้าเป็นหน้าบลูชีส ซาลามิ เพ็ปเปอโรนิ หรือแฮมระดับไขมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

          ทางเลือกเพื่อสุขภาพ : แป้งพิซซ่าที่ทำจากแป้งโฮลวีทจะช่วยเพิ่มใยอาหาร มะเขือเทศให้โปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัส

 ประเภทฟาสต์ฟู้ด : เบอร์เกอร์เนื้อ มันฝรั่งทอด และมิลก์เชก (นมปั่น)

          ผลเสียที่เกิดกับร่างกาย : แม้จะมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม แต่ในขณะเดียวกันก็มีไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว นอกจากนี้ยังมีคอเลสเตอรอลและเกลือโซเดียมสูง รวมทั้งมีสีและสารแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์ มีใยอาหารและวิตามินซีต่ำ

          ทางเลือกเพื่อสุขภาพ : สลัดที่ใส่พาสต้าชนิดที่ทำจากแป้งโฮลวีท กับผักสดนึ่งพอสุก แป้งโฮลวีทให้ใยอาหาร ผักให้วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ส่วนบล็อกโคลีให้ธาตุเหล็ก

          อย่างไรก็ตาม อาหารไม่ใช่ทั้งหมดของการมีสุขภาพดี หากยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่มีผลต่อการสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การมองโลกในแง่ดี หรือการใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ 

10 อาหารขายดีที่อันตราย

           แฮมเบอร์เกอร์ ส่วนใหญ่ใส่สารปรุงรส MSG (Monosodium Gutamate) ที่ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ ส่วนเครื่องปรุงรสของเบอร์เกอร์จำพวกพริก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ล้วนใช้สารก่อมะเร็งจากเกลือเคมีกำมะถัน เพื่อควบคุมความสดของผัก 

           ฮอทด็อก มักจะใส่สารไนไตรท์ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีไขมันที่มีสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนำไปปิ้งย่างจะเกิดสารพิษชื่ออะคริลิไมด์ ซึ่งเป็นอีกสารหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งและทำลายประสาท 

           เฟร้นช์ฟรายหรือมันฝรั่งทอด การทอดในอุณหภูมิที่สูงทำให้มีสารอะคริลิไมล์ และน้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งจะเกิดการออกซิไดซ์ ที่สำคัญมันฝรั่งมีกลีซีมิคอยู่สูงมาก ซึ่งจะเปลี่ยนมันฝรั่งที่เรากินเข้าไปนั้นเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก กล่าวคือกินมันฝรั่งทอดหนึ่งหัว จะมีน้ำตาลเท่า ๆ กับเค้กช็อคโกแลตชิ้นโต ๆ เลยทีเดียว 

           คุกกี้ช็อกโกแลต การกินคุกกี้ช็อกโกแลตบ่อย ๆ จะเพิ่มความกระหายน้ำตาลในร่างกายภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งการที่ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไป จะส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่น และเกิดริ้วรอยเร็วขึ้น 

           พิซซ่า ผิวหน้าพิซซ่าที่อบด้วยอุณหภูมิที่สูง อาจมีสารอะคริลิไมล์เกิดขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มหน้าไส้กรอกยังทำให้มีความเสี่ยงสูงจากสารไนไตรน์ สารกันบูดและสารเคมีอื่น ๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัว 

           น้ำอัดลม ในน้ำอัดลม 1 กระป๋องมีน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานอยู่ประมาณ 12 ช้อนชา ดังนั้นการกินน้ำอัดลม 1 กระป๋องก็เท่ากับกินแท่งช็อกโกแลตน้ำตาลเหลวดี ๆ นี่เอง  

           ชิ้นไก่ทอดเนื้อนุ่มไร้กระดูก มีสารฟอสเฟตที่ทำให้ร่างกายเกิดกรด ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ยากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจมีสารอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อสมอง และกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย 

           ไอศกรีม มีไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยนไปจากธรรมชาติ และเป็นตัวการที่ทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ฮอร์โมนที่ฉีด เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนมในวัวยังส่งผลให้เกิดเนื้องอก ซีสต์ มะเร็งเต้านม และรังไข่ 

           โดนัท ในโดนัท 1 ชิ้นมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่าที่ร่างกายต้องการ และมีเกลือโซเดียมในปริมาณมากซึ่งทำให้ร่างกายขาดน้ำ นอกจากนี้การทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงจะมีกลิ่นหืน และมีสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง

           ขนมขบเคี้ยว การกินขนมขบเคี้ยว 1 ถุงจะทำให้ได้รับสารอะคริริไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไป นอกจากนี้ในขนมขบเคี้ยวยังมีไขมันอิ่มตัว เกลือโซเดียมอยู่สูงมาก

ที่มา : http://health.kapook.com/view5401.html

สนับสนุนโดย  Kuu Ne คูเน่ ... โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว
www.facebook.com/kuunepage
www.ptpfoods.com

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Ageing and life course ระยะเวลาแค่ 23 ปี มีผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัว







จากปี 2545 มีผู้สูงอายุทั่วโลก 600 กว่าล้านคน สถานะการณ์ปัจจุบัน ปี 2556 มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีก 12 ปีข้างหน้า ปี 2568 จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 1200 ล้านคน เพียงแค่ระยะเวลา 23 ปี ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเท่าตัว ... เราจะเตรียมตัวและวางแผนชีวิตอย่างไร อยู่อย่างไร เมื่อวันนั้นมาถึง... ด้วยความสุข

1 October: International Day of Older Persons

OLDER PEOPLE – A NEW POWER FOR DEVELOPMENT

Why a "new power"?

A demographic revolution is underway throughout the world. Today, world-wide, there are around 600 million persons aged 60 years and over; this total will double by 2025 and will reach virtually two billion by 2050 - the vast majority of them in the developing world.

1 ต.ค. วันผู้สูงอายุสากล
เปิดตำราเตรียมรับมือ "วัยสุดท้ายของชีวิต"
 
      


    วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี  องค์การสหประชาชาติ ( United Nations) ได้กำหนดให้เป็นวัน ผู้สูงอายุสากล ในวินาทีนี้ ทุกประเทศต้องเตรียมเผชิญผลกระทบของภาวะสังคมผู้สูงอายุอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2568 จะมีผู้สูงอายุทั่วโลกมากกว่า 800 ล้านคน และ 2 ใน 3 อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา   
      






                                                                                                           
          สำหรับไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2568  โดยจะมีจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 26 ของประชากรทั้งหมด และ 1 ใน 5 จะมีผลกระทบด้านสุขภาพและสวัสดิการสังคม ซึ่งจะส่ง ผลกระทบอย่างมากในการเตรียมผู้ดูแล การจัดบริการ และการพัฒนาประเทศในภาพรวมประเด็นสำคัญคือ เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ  ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม  การเตรียมตัวเข้าสู่ "วัยสุดท้ายของชีวิต"  จึงมีความสำคัญไม่น้อย

          จากคู่มือ "แผนที่ชีวีมีสุข" ของ รศ.ดร.อาชัญญา รัตนอุบล  คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนโดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ให้ข้อแนะนำในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยผู้สูงอายุอย่างน่าสนใจยิ่ง

          เตรียมพร้อมทางด้านร่างกาย อนามัยดี ชีวีมีสุขผู้ที่เริ่มเข้าสูงวัยผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จะต้องยอมรับว่า อวัยวะทุกส่วนมีแต่ความเสื่อม พลังสำรองค่อยๆ ลดลง การปรับสภาพสมดุลทางกายก็ลดลงด้วย ทำให้เกิดภาวะไม่สุขสบาย ผู้สูงอายุต้องยอมรับสภาพเหล่านี้ และปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นอยู่ ดังนั้นหากเริ่มเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ต้องรีบรักษา ไม่ควรปล่อยไว้นานจนกลายเป็นโรคเรื้อรังจะรักษาได้ยาก และควรหลีกเลี่ยงสภาวะที่ทำให้เกิดความกดดัน เครียดเพราะจะนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆได้ใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้นนอกจากจะต้องได้รับสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่แล้ว เมื่อเริ่มสูงวัย ร่างกายยังต้องการสารอาหารบางอย่างเป็นพิเศษ เช่นวิตามันเอ บี และซี กรดโฟลิก แคลเซี่ยม โปรตีน ธาตุเหล็ก สังกะสี เพื่อบำรุงร่างกาย จึงควรรับประทานอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เพราะมีวิตามันและกากใยสูง เช่น ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชต่างๆ ปลา เต้าหู้ หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน รับประทานพืชผักให้หลากหลาย และควรต้มให้สุกหรือนึ่งให้นิ่ม ลดอาหารมันเค็ม  ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วสภาพแวดล้อมดี ชีวียืนยาวการได้รับอากาศบริสุทธิ์ จะทำให้มีสุขภาพดี  ควรจัดที่อยู่อาศัย ในที่ๆ มีอากาศหมุนเวียนดี   ห้องนอนไม่ควรอยู่ชั้นบน อยู่ใกล้ห้องส้วมห้องน้ำ และใช้วัสดุที่ไม่ลื่นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ปรับพฤติกรรมการนอนให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง  เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนเพียงพอสร้างสุขนิสัยใหม่เรื่องการขับถ่ายคนที่ชอบกลั้นอุจจาระและปัสสาวะ จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้  เมื่อรู้สึกปวดถ่าย แสดงว่าร่างกายต้องการขับออก การเก็บของเสียไว้โดยการกลั้น ยิ่งจะทำให้เกิดอาการบูดเน่า เป็นพิษต่อร่างกายเพิ่มขึ้น เป็นทาง หนึ่งที่ทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย

          ออกกำลังกายทุกวันอย่างสม่ำเสมอควรออกกำลังกายต่อเนื่อง  30 นาที โดยทำอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เลือกวิธีที่บริหารที่เหมาะกับวัย ให้อวัยวะทุกส่วนได้เคลื่อนไหว ถ้ารู้สึกเหนื่อย ควรพักผ่อน  การออกกำลังทีพอดี ไม่หักโหม จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้อวัยวะทุกส่วนได้รับอาหารและออกซิเจนเพียงพอ และมีการขับถ่ายของเสียจากเซลล์ได้ดี ทำให้เซลล์ทุกส่วนแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ เมื่อเจ็บไข้ก็หายเร็ว  เช่นการบริหารยืดเหยียด ว่ายน้ำและการเดิน หรือการบริหารเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อต่อ เช่น รำมวยจีน ฝึกโยคะ รำกระบอง เป็นต้นเตรียมพร้อมด้านจิตใจสภาพกายที่เสื่อมลง บทบาทต่างๆ ในชีวิตจึงลดลง เศรษฐกิจและรายได้ลดลง สังคมเปลี่ยนไป ต้องจำเจกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุมีปัญหาทางด้านจิตใจ มีอารมณ์หวั่นไหวมากขึ้น ใจน้อย เพราะคิดว่าตนเองไร้ค่า หงุดหงิด จู้จี้ ขี้บ่น เพราะทำอะไรด้วยตนเองได้น้อยลง อารมณ์หวั่นไหวต่างๆ นี้ เป็นยาพิษที่ทำลายสุขภาพ ดังนั้นจะต้องพยายามปรับตัว ยอมรับความเปลี่ยนแปลง  

ทดแทนความเหงา  ด้วยการทำกิจกรรมที่ชอบ หาความบันเทิงจากสิ่งที่ตนพอใจ เช่น ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง ดูแลต้นไม้ ประกอบอาหารการเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการเข้าสู่วัยผู้สูงอายุขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของแต่ละคน ว่าชอบทำสิ่งใดแล้วจะมีความสุขและสบายใจ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการเข้าใจและการยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆในชีวิต การเสริมสร้างสุขภาพจิต หากมีการเตรียมตัวที่ดีและเหมาะสม จะช่วยให้ผ่อนคลาย สบายใจและดำเนินชีวิตอย่างมีความสงบสุขเตรียมพร้อมด้านสังคมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิกในครอบครัว กลุ่มเพื่อน และคนทุกวัยในชุมชนมีผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของผู้สูงอายุ เพราะเป็นการสร้างความเพลิดเพลินและฟืนฟูจิตใจ หากมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างสม่ำเสมอจะทำให้สุขภาพจิตดี อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ผู้สูงอายุจึงต้องสนใจรับรู้สิ่งใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และปรับตัวให้ เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไม่รู้จบได้อย่างมีความสุข

          หากผู้สูงอายุ นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้าน ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น จะทำให้ห่อเหี่ยวลงทุกวัน ควรออกสังคมเป็นครั้งคราว เพื่อจะได้พูด คุย สังสรรค์กับคนอื่น เช่น ไปวัดปฏิบัติธรรม ไปทัศนศึกษา เพื่อเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หรือเข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุ และเข้าร่วมกิจกกรม เช่น กายบริหาร  การประชุมวิชาการเพื่อเผยแพร่ความรู้ในการดูแลตนเอง เป็นต้น

          ออมดีชีวีมีสุข

          การวางแผนการออมจะทำให้ใช้ชีวิตแบบสุขกายสบายใจ หากมีเงินออมจำนวนที่พอเหมาะกับการใช้ชีวิตในบั้นปลายย่อมมีความสำคัญ ทั้งนี้เมื่อคนเราเข้าสู่วัยสูงอายุความสามารถในการหารายได้จะมีลดลง เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านอื่นที่เพิ่มเข้ามา ดังนั้นจึงควรวางแผนการออมเบื้อต้น เช่นทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจัน มีเงินสำรองใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน

          การออมเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยแต่ละคนอาจมีวิธีการออมที่เหมือนหรือต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรายได้และวิธีการออม วิธีเบื้องต้นที่สามารถทำได้ เช่น ซื้อของที่จำเป็น เก็บเงินอย่างน้อย 1 ส่วน ใช้ 3 ส่วน ไม่เป็นเหยื่อเงินผ่อนกับสิ่งฟุ่มเฟือย หรือฝากธนาคารในรูปแบบเงินฝากประจำ

          ต้องเตือนตนเองว่าให้เริ่มออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเมื่อถึงบั้นปลายชีวิตจะได้มีเงินไว้ใช้อำนวยความสุขให้ตัวเองอย่างไม่ขัดสน หากไม่ได้เตรียมในส่วนนี้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว  ในอนาคตอาจลำบากได้  นอกจากนี้การที่รัฐบาลเตรียมผลักดันร่างพ.ร.บ.การออมแห่งชาติ จะเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยให้วัยแรง งาน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบที่ยังขาดหลักประกันทางรายได้  สามารถมีเงินออมเอาไว้ใช้ในยามแก่ชราได้    ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า