ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำปานะแบบไหนที่พระฉันได้ทั้งคืน


เป็นที่ข้องอกข้องใจกันอยู่พอสมควรกับเรื่องของน้ำปานะ ว่าน้ำอะไรที่พระสามารถฉันได้ตลอดคืน เนื่องจากมีการเข้าใจผิดกันอยู่ ญาติโยมจึงถวายผิดประเภท Food&Health จึงถือโอกาสดีในวันเข้าพรรษามาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับน้ำปานะอย่างถูกต้องค่ะ

น้ำปานะ คือ เครื่องดื่มที่คั้นจากลูกไม้ หรือ น้ำคั้นผลไม้ จัดเป็น "ยามกาลิก" คือ ของที่พระภิกษุสงฆ์รับประเคนไว้แล้วฉันในช่วงหลังเที่ยงไปได้ทั้งวันทั้งคืนก่อนรุ่งเช้า


ผู้บัญญัติให้เกิดมีการดื่มน้ำปานะขึ้นเป็นท่านแรกคือ เกณยชฎิล ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกพระวินัย เล่มที่ 5 ข้อที่ 86 ว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตน้ำปานะ หรือน้ำดื่ม 8 ชนิดคือ
1.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลมะม่วง
2.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลหว้า
3.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด
4.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด
5.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลมะซาง
6.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลจันทน์  หรือผลองุ่น
7.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลเหง้าบัว
8.  น้ำปานะ  ที่ทำด้วยผลมะปราง  หรือผลลิ้นจี่ 

และทรงอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก น้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง น้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะซาง และทรงอนุญาตน้ำอ้อยสด

สรุปได้ว่า ในเวลาวิกาลพระท่านสามารถดื่มน้ำผลไม้ได้ทุกชนิด เว้นผลไม้ที่มีผลใหญ่กว่าผลมะตูม หรือผลมะขวิด วิธีทำก็ต้องคั้นเอาแต่น้ำ และกรองให้ไม่มีกาก จะทำให้สุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ได้ แต่ห้ามผ่านการสุกด้วยไฟ

น้ำที่ห้ามพระสงฆ์ดื่มในยามวิกาล
น้ำจากมหาผล คือผลไม้ใหญ่ 9 ชนิด คือผลตาล ผลมะพร้าว ผลขนุน ผลสาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไทย แตงโม และฟักทอง
น้ำที่ได้จากธัญชาติ 7 ชนิด มีข้าวสาลี ข้าวเปลือก หน้ากับแก้ ข้าวละมาน ลูกเดือย ข้าวแดง ข้าวฟ่าง
น้ำที่ได้จากพืชจำพวกถั่ว มีถั่วเขียว ถั่วเหลือง  เป็นต้น


รวมถึงน้ำนมสด ก็ไม่จัดเป็นน้ำปานะ เพราะนมสดถือเป็นโภชนะ (คืออาหาร) อันประณีต ไม่ควรดื่มในเวลาวิกาล 

ส่วนโภชนะอันประณีตอีก 5 อย่าง คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย แม้จะเป็นอาหาร แต่ก็เป็นเภสัช คือยาด้วยพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันได้ทั้งในกาลและวิกาล คือฉันได้ไม่จำกัดเวลา

มาถึงตรงนี้แล้ว ก็เป็นอันเข้าใจได้เลยว่า ทั้งนม, น้ำเต้าหู้, นมถั่วเหลือง, โอวัลติน กาแฟ ไม่จัดว่าเป็นน้ำปานะ ฉะนั้นจะจัดน้ำปานะถวายพระก็ต้องระวังกันด้วยนะคะ

เรื่องโดย : อุมัย
ที่มา :  http://guru.truelife.com/content/1874934

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

Kuu Ne คูเน่ หยุดเสี่ยง ! เลือกกินอาหารดีๆ แต่ปรุงรสด้วยสารเคมี


 Kuu Ne คูเน่  หยุดเสี่่ยง !   เลือกกินอาหารดีๆ
แต่ปรุงรสด้วยสารเคมี ด้วยนวัตกรรมทางผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่ จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ
ปราศจากเนื้อสัตว์ สารเคมีปรุงแต่งกลิ่น สี รส อีกทั้งยังป้องกันความเสี่ยงต่อโรค ผลงานวิจัยดีเด่น
ม.เกษตรศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ  เข้มข้น 3 เท่า (อนุภาคหอมหัวใหญ่เกาะตัวกันตามธรรมชาติ)




สารปรุงแต่งอาหาร
สารปรุงแต่งอาหาร  หมายถึง  สารปรุงรสและวัตถุเจือปนในอาหารที่นำมาใช้เพื่อปรุงแต่งสี  กลิ่น  รส และคุณสมบัติอื่น ๆ ของอาหาร  มีอยู่  3 ประเภท1ประเภทที่ไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย  ได้แก่
        1.1 สีต่าง ๆ ที่ใช้ผสมอาหาร  ซึ่งเป็นสีธรรมชาติ  ได้แก่
              -สีเขียว  จากใบเตยหอม  พริกเขียว
              -สีเหลือง  จากขมิ้นอ้อย  ขมิ้นชัน  ลูกตาลยี  ไข่แดง  ฟักทอง  ดอกคำฝอย  เมล็ดคำแสด
              -สีแดง  จากดอกกระเจี๊ยบ  มะเขือเทศ   พริกแดง  ถั่วแดง  ครั่ง
              -สีน้ำเงิน  จากดอกอัญชัญ
              -สีดำ  จากกากมะพร้าวเผา  ถั่วดำ  ดอกดิน
              -สีน้ำตาล  จากน้ำตาลเคี่ยวไหม้  หรือคาราเมล
a02.jpg a02 image by bddc2
         1.2 สารเคมีบางประเภท  ได้แก่              1.2.1 สารเคมีประเภทให้รสหวาน  เช่น  น้ำตาลทราย  กลูโคส  แบะแซ
              1.2.2 สารเคมีบางประเภทให้รสเปรี้ยวในอาหาร  เช่น  กรดอะซีติก  (กรดน้ำส้ม)  
กรดซิตริก  (กรดมะนาว)
              1.2.3 สารเคมีที่เป็นสารแต่งกลิ่น  เช่น  น้ำนมแมว  หรือหัวน้ำหอมจากผลไม้ต่าง ๆ
2. ประเภทที่อาจเกิดอันตรายหากใช้เกินขอบเขต
2.1 สีผสมอาหาร  ได้จากการสังเคราะห์สารเคมี  แม้กฏหมายกำหนดให้ใช้สีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารได้  แต่หากใช้ในปริมาณมากและบ่อยก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภได้  ปริมาณสีที่อนุญาตให้ใช้ผสมในอาหารประเภทเครื่องดื่ม ไอศกรีม  ลูกกวาด  และขนมหวาน  มีดังนี้
      2.1.1 สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน  70  มิลลิกรัมต่ออาหารในลักษณะที่ใช้บริโภค  1  กิโลกรัม
         -สีแดง  ได้แก่  เอโซรูบีน  เออริโทรซิน
         -สีเหลือง  ได้แก่  ตาร์ตราซีน  ซันเซ็ตเย็ลโลว์  เอ็ฟ  ซี  เอ็ฟ
         -สีเขียว  ได้แก่  ฟาสต์  กรีน  เอ็ฟ  ซี  เอ็ฟ
         -สีน้ำเงิน  ได้แก่  อินดิโกคาร์มีนหรืออินดิโกติน
2.1.2  สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน  50  มิลลิกรัมต่ออาหารในลักษณะที่ใช้บริโภค  1  กิโลกรัม
          -สีแดง  ได้แก่  ปองโซ  4  อาร์
           -สีน้ำเงิน  ได้แก่  บริลเลียนบลู  เอ็ฟ  ซี  เอ็ฟ
2.2 ผงชูรส  ป็นสารปรุงแต่งรสอาหาร  มีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมท  ผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง  หรือ จากกากน้ำตาล ลักษณะของผงชูรสแท้จะเป็นเกล็ดหรือผลึกสีขาวขุ่น  ปลายทั้ง  2  ข้างโตและมัน  ตรงกลางคอดเล็กคล้ายกระดูก ไม่มีความวาวแบบสะท้อนแสง  มีรสชาติคล้ายเนื้อต้ม  ปริมาณที่ใช้ควรเพียงเล็กน้อย ถ้าบริโภคมากเกินไปอาจมีอาการแพ้ผงชูรสได้  ควรใช้ผงชูรสประมาณ  1/500-1/800   ส่วนของอาหารหรือประมาณ  1  ช้อนชาต่ออาหาร  10  ถ้วยตวง  และไม่ควรใช้ผงชูรสในอาหารทารกและหญิงมีครรภ์

2.3 สารเคมีที่ใช้กันเสียกันบูด  เป็นสารประกอบทางเคมีหรือของผสมของสารประกอบที่ใช้เติมลงในอาหาร  เพื่อชะลอการเน่าเสียหรือยืดอายุการเก็บอาหาร  โดยจะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และส่วนประกอบของเอนไซม์  ซึ่งทำให้การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์หยุดชะงักหรือตายได้  นอกจากนี้ยังมีผลต่อการแบ่งเซลล์ยับยั้งการสังเคราะห์ของโปรตีน  ทำให้ขบวนการแบ่งเซลล์หยุดชะงัก  จำนวนจุลินทรีย์จะไม่เพิ่มขึ้น  การใช้วัตถุกันเสีย ไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้  กรณีที่จำเป็นต้องใช้ควรเลือกวัตถุกันเสียที่ปลอดภัยและใช้ในปริมาณที่กฏหมายกำหนด  รวมทั้งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของอาหาร3. ประเภทเป็นพิษไม่ปลอดภัย  เป็นอันตรายต่อชีวิตได
ปัจจุบันได้มีการใช้สารเคมีต่าง ๆ ปรุงแต่งอาหารเพื่อให้อาหารน่ารับประทานเก็บได้นานรวมทั้งราคาถูก  และจากการตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐพบว่า  มีการใช้สารเคมีที่กฏหมายห้ามใช้ในการปรุงแต่งในอาหาร  ซึ่งทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคถึงชีวิตได้
สารบอแรกซ์ในลูกชิ้น  
        
กลไกการทำงานและผลของบอแรกซ
            จะทำให้ระดับฟอสฟอรัสในสมองและตับลดต่ำลง มีผลต่อการยับยั้ง oxidoreductase enzyme   และ serine protease enzyme เพิ่มความเข้มข้นของ RNA ในตับและสมอง   มีผลต่อระบบประสาท่าวนกกลาง ตับ ไต และเยื่อบุอวัยวะย่อยอาหาร ทำให้ความดันลดลง การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน สมองตื้อ มีอาการบวมช้ำ ฮีโมโกลบินลดต่ำลง ไตเสื่อม และสมรรถทางเพศลดต่ำลง ผิวหนังแดง ไตพิการ และเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เสียชีวิตในผู้ใหญ่จากการได้รับสารบอ แรกซ์ 5- 20 กรัม และเด็กทารกหากได้รับสารบอ แรกซ์น้อยกว่า กรัม   ก็ช็อค หรือตายได้
การนำบอแรกซ์มาใช้ในอาหาร
เนื่องจากสารบอ แรกซ์ ทำให้อาหารมีลักษณะ หยุ่นกรอบ และมีคุณสมบัติเป็นวัตถุกันเสียอยู่ด้วย จึงมีการนำมาใช้ผลิตอาหารประเภทลูกชิ้น หมูยอ ทอดมัน   ไส้กรอก แป้งกรุบ ลอดช่อง ผงวุ้น ทับทิมกรอบ มะม่วงดอง ผักผลไม้ดอง และยังพบว่ามีการนำเอาบอ แรกซ์ไปละลายในน้ำแล้วทาที่เนื้อหมู เนื้อวัว เพื่อให้ดูสด ไม่บูดเน่าก่อนเวลา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปลอมปนในผงชูรส เนื่องจากมีลักษณะเป็นผลึกเล็กๆเละเป็น ผงซึ่มมีสีขาวคล้ายเศษของผงชูรส  
ขนาดของบอแรกซ์ที่เป็นอันตราย
-ขนาดที่ทำให้เกิดพิษ 5 – 10 กรัม ในผู้ใหญ่
-ขนาดที่ทำให้ตายได้ 15 – 30 กรัม ในผู้ใหญ่
-ขนาดที่ทำให้เกิดพิษและตาย 4.5 – 1.4 กรัมในเด็ก ซึ่งการตายจะเกิดขึ้นภายใน 2 – 3 วัน

แหล่งที่มา : http://www.learners.in.th/blogs/posts/281926

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

Kuu Ne คูเน่ On air TV 3 & NBT รายการ เพื่อนคู่คิด


ตอน คิดคู่ครัว…เคียงคู่สุขภาพ    http://www.youtube.com/watch?v=OcO-MKXO8cQ&feature=colike


                                       

เครื่องปรุงรสอาหารแบรนด์ ‘คูเน่’ ถือเป็นนวัตกรรมเครื่องปรุงอาหารจากธรรมชาติ โซเดียมต่ำ เพื่อสุขภาพ ปลอดภัยไร้สารเคมี โดยใช้หัวหอมใหญ่เป็นวัตถุดิบหลัก ไม่มีผงชูรส และไม่มีส่วนผสมจากเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ “คูเน่” ต่อยอดมาจากงานวิจัย ของภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งถูกนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจโดยบริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด และด้วยคุณสมบัติที่ปราศจากผงชูรส และไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ แถมยังได้การรับรองจาก อ.ย. ฮาลาล ภายใต้มาตรฐาน GMP   คูเน่ จึงเป็นผงปรุงรสที่เหมาะสำหรับ กลุ่มผู้รับประทานมังสวิรัติ และผู้บริโภคทั่วไป ที่ต้องการปรุงรสอาหารอย่างมีสุขภาพที่ดีขึ้น ใช้แทนผงชูรส และน้ำซุป เพื่อสุขภาพที่ดีอายุยืนยาว

สนใจเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพสามารถเข้าไปเลือกซื้อได้ที่
ซองขาว  :  โซเดียมต่ำ Central Food Hall, Tops Market ทุกสาขา
ซองแดง  :  Lemon Farm, Golden Place ทุกสาขา และร้านค้าผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพทั่วไป

  • ผู้แทนธุรกิจ: คุณคมชาญ เอกเตชวุฒิ 90/61 ม.2 ถ.สุวินทวงศ์ แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กทม. 10530 

  • ผลิตโดย บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด เลขที่ 90/61 หมู่ 2 ถนนสุวินทวงศ์ ลำผักชี หนองจอก กรุงเทพฯ 10530 โทร. 0 2956 6118 โทรสาร. 0 2956 6117 มือถือ 086-791 7007

  • Kuu Ne คูเน่ ... หนึ่งในผงปรุงครบรสจากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ ที่โภชนากรเลือกสรร
    ด้วยปราศจากเนื้อสัตว์ สารเคมีปรุงแต่งกลิ่นสีรส และวัตถุกันเสีย อีกทั้งป้องกันความเสี่ยงต่อโรค คุณค่าเลือกได้วันนี้ ... วันหน้า สุขภาพดีเคลื่อนไหวช่วยเหลือตัว­เองได้ ย่อมดีกว่าสะสมเคมีในร่างกาย มาร่วมฟื้นฟู หยุดเสี่ยงด้วยการป้องกันแทนการ­รักษา เป็นสุขกันถ้วนหน้า มั่นใจได้กับ คูเน่ ... คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ
  • Kuu Ne คูเน่ นวัตกรรมผงปรุงครบรส หอมหัวใหญ่ จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ
    หยุดเสี่ยง เลือกกินอาหารดีๆ แต่ปรุงรสด้วยสารเคมี ด้วยนวัตกรรมทางเลือกใหม่ ปราศจากสารเคมี ปรุงแต่งกลิ่น สี รส เข้มข้น 3 เท่า ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ
    (อนุภาคหอมหัวใหญ่ จะเกาะจับตัวกันเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการ เกา­ะตัว)
    

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ฟังทัศนะ "ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ"...ถึงเวลาที่ครอบครัวคนเมืองต้องคิดใหม่!

 
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
       "หากมนุษย์ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม คิดแต่ตั้งค่า KPI ให้ตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่ภัยธรรมชาติจะบางเบาลง ซึ่งถ้าพูดกันในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเลยนะ อนาคตกรุงเทพฯ อาจจะไม่เหลือ ซึ่งผมก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่ถ้ากรณีกลาง ๆ อาจจะท่วมบางส่วน หรือท่วมซ้ำ ซึ่งมันตอบยาก แต่ผมเชื่อว่ามันมาแน่ และปีหน้าคงหนักกว่านี้หลายเท่า"
      
       ผู้เอ่ยประโยคข้างต้น เป็นบุคคลสำคัญที่เกาะติดเรื่องภัยพิบัติมาโดยตลอด และเป็นถึงอดีตนักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซาที่หลาย ๆ ท่านรู้จักกันดีในชื่อ "ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ" นักวางยุทธศาสตร์ และนักบริหารองค์กรแนวพุทธที่ทำให้หลาย ๆ บริษัทชื่อดังประสบความสำเร็จมาแล้วหลายแห่ง ปัจจุบันเป็นคุณพ่อลูกสองที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเชื่อว่าเป็นวิถีทางรอดท่ามกลางสังคมโลกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เห็นได้จากภัยธรรมชาติที่เริ่มส่งสัญญาณความไม่ปกติของโลกถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
      
       "ลูกผมตอนนี้ ผมเตรียมพร้อมพวกเขาในด้านร่างกาย อย่างวิกฤตน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมไม่ให้เขาจมอยู่กับทีวี หรืออินเทอร์เน็ท แต่จะพาเขาไปออกกำลังกาย ช่วยผมเลี้ยงสัตว์ ทำสวนในไร่ ที่สำคัญผมเตรียมพร้อมในด้านจิตใจด้วย พาเขาไปทำจิตอาสา ส่วนเรื่องความรู้ไม่ต้องไปสอนเขามาก โรงเรียนกวดวิชาเขาสอนมันกว่าเราเยอะ หน้าที่ของพ่อแม่คือ หาโอกาสพาลูกไปเห็นของจริงนอกบ้านบ้าง เช่น การอยู่ การกิน การใช้ชีวิตกับธรรมชาติ และสอนว่าอันนี้กุศล หรืออกุศล แล้วเชื่อเถอะครับว่า เด็กจะมีภูมิคุ้มกัน และอยู่กับภัยธรรมชาติในโลกอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรได้อย่างเข้มแข็ง" ดร.วรภัทร์เผยถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมทั้งตัวพ่อแม่และตัวลูก แต่ทุกวันนี้ครอบครัวไทย โดยเฉพาะครอบครัวคนเมืองยังไม่ค่อยตื่นตัวเท่าที่ควร
      
       "ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ต้องเข้ากรุงเทพฯ ถ้าพาตัวเอง และลูก ๆ ออกไปอยู่ต่างจังหวัดบ้าง ผมมองว่ามีอะไรที่น่าเรียนรู้อีกเยอะมาก อีกอย่าง ผมมีความเชื่อว่า ระบบทุนนิยมสักวันมันต้องสลาย และพังลงไป เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งอำนวยความสะดวกในระบบทุนนิยมก็หายไปด้วย แต่ลูกของพวกคุณถูกฝึกมาให้พึ่งพาเทคโนโลยี พึ่งพาผู้อื่น พึ่งพาห้างสรรพสินค้า ถามหน่อยว่า ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาจริง ๆ จะอยู่กันรอดได้อย่างไร" ดร.วรภัทร์ให้ทัศนะหลังจบงานเสวนาคิดใหม่ 2555 อยู่อย่างไร เมื่อภัยพิบัติมาเยือน! ที่มูลนิธิบ้านอารีย์เมื่อเร็ว ๆ นี้
      
       ดังนั้น ดร.วรภัทร์ เสนอแนวทางว่า ครอบครัวไทยต้องหันกลับมาทำตามสิ่งที่ในหลวงท่านสอน กลับมาสู่พื้นฐาน และใช้ชีวิตโดยยึดหลักความพอเพียง
      
       "ผมอยากให้พ่อแม่ค่อย ๆ พาตัวเอง และลูก ๆ กลับไปเรียนรู้พืชผักพื้นเมือง และสมุนไพรไทยบ้าง เผื่อวันข้างหน้าเกิดปัญหายาต่างชาติไม่สามารถส่งเข้ามาได้ คุณจะได้รู้จักทำยาจากสมุนไพร หรือไม่ก็หัดไปปลูกเผือกปลูกมันกินกันเอง เพราะข้าวอาจปลูกขึ้นได้ยากแล้วในสภาพอากาศตอนนี้ ที่สำคัญ หัดซื้อของให้น้อยลงบ้าง เลิกฟุ่มเฟือยกันได้แล้ว เพราะในโลกอนาคตเราอาจไม่มีน้ำมันเหลือ ไม่มีไฟฟ้าเหลือ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร ถ้าไม่หัดพึ่งตัวเองให้เป็น"
 
       "ถึงเวลาที่คนกรุงเทพฯ ต้องคิดใหม่ได้แล้วครับ ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว อีกอย่างเลิกด่ากันสักที ผมว่าพอเถอะ พอได้แล้ว เรามาเตรียมตัวที่จะอยู่กับภัยธรรมชาติกันดีกว่า สอนลูกสอนหลานให้เตรียมพร้อม และหาที่สำรองในการทำกินไว้บ้าง โดยเฉพาะที่ทางในต่างจังหวัด เพื่อฝึกซ้อม และใช้ชีวิตอยู่กินกับธรรมชาติให้ชำนาญ เวลาเกิดปัญหาจะได้มีที่ทางทำกิน ไม่ใช่พึ่งแต่ร้านสะดวกซื้อ หรือศูนย์การค้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้" ดร.วรภัทร์ให้หลักคิด
      
       นอกเหนือจากนั้นแล้ว ดร.วรภัทร์ ยังเป็นห่วงไปถึงระบบการศึกษาไทยที่เน้นสอนแต่เรื่องห่างไกลตัว ทำให้เด็กไม่ค่อยมีทักษะการใช้ชีวิต และการเอาตัวรอดเมื่อต้องอยู่ในสภาวะวิกฤต
      
       "อย่างใบไม้ ไม่ใช่มีแค่ใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเลี้ยงคู่ แต่มันมีแค่ 2 อย่างเท่านั้นเองคือ กินได้กับกินไม่ได้ แต่เราไม่สอนเด็ก ถ้าเกิดเด็กหลงป่า ติดเกาะพวกเขาจะรู้ไหมว่าพืชผักชนิดใดกินได้ หรือกินไม่ได้ เลิกสอนแบบรู้ลึกโง่กว้างกันได้แล้ว ส่วนลูกคนมีเงินเขาก็ไปเรียนโรงเรียนดี ๆ แต่คนจนทำไมต้องไปเรียนวิชาของเศรษฐี ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราจะสอนคนจนอย่างไรให้เขาเอาตัวรอดได้ วิชาซาเล้งวิทยาน่าจะมี วิชาติดต่อราชการ หรือวิชาลับลวงพรางเพื่อจะได้รู้เท่าทันคนก็น่าจะมีนะ"
      
       "ดังนั้น ผมอยากให้อาจารย์ที่ออกข้อสอบทำตัวเหมือนชาวบ้านกันหน่อยได้ไหม เลิกอะไรที่มันวัตถุนิยมมากขึ้น สอนเด็กให้อยู่กับความรู้รอบตัวให้มากขึ้น พ่อแม่ควรเข้ามาช่วยร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเตรียมพร้อมเด็กรุ่นใหม่ในการรับมือกับภัยพิบัติอย่างมีสติ เพราะเราไม่อาจคาดการณ์อนาคตได้แน่ชัด บางทีพรุ่งนี้ มะรืนนี้ อาจเกิดน้ำท่วมขึ้นอีกระลอกใหม่ก็ได้ หรือแม้แต่แผ่นดินไหวที่ไม่เคยทำพิษรุนแรงในไทยมาก่อนก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน" ดร.วรภัทร์สะกิดใจผู้ใหญ่ในสังคม
      
       ท้ายนี้ ดร.วรภัทร์ได้แนะนำสถานที่เรียนรู้การพึ่งพาตัวเองที่น่าสนใจคือ "ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก เป็นศูนย์แสดงแนวคิด และทฤษฏีการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสอนให้คนได้รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ สร้างอาชีพสร้างความมั่นคงที่เกิดจากฐานการเรียนรู้การพึ่งตนเองอย่างเป็นขั้นตอน ทุกกิจกรรมเน้นให้ก่อเกิดการเรียนรู้ที่สามารถปรับใช้ได้โดยง่าย แม้แต่ในห้องปัสสาวะชายที่ยังมีระบบการคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีการใช้น้ำประหยัดที่สุด และทำอย่างไรไม่ให้มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น
      
       เมื่อโลกทุกวันนี้ไม่ได้สงบเฉกเช่นเดิม ภัยธรรมชาติมักจะมาได้เสมอโดยไม่บอกกล่าว และไม่มีการเตือนภัย ฉะนั้นอยู่ที่ตัวพ่อแม่ และผู้ใหญ่ในสังคมว่าจะเตรียมตัวเอง และเตรียมลูกหลานเพื่อรับมือ และอยู่อย่างไรเมื่อภัยธรรมชาติมาเยือน เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์19 ธันวาคม 2554 16:48 น.

‎"ร่วมศึกษา ร่วมรักษ์ทะเลและชายฝั่งไปกับกรม ทช." เคยเห็นไหมครับ "น้ำตาเจ้าโลมา"




    • สัตว์ที่ว่าฉลาดเป็นที่ สอง รองจากมนุษย์ น้ำตาโลมา ... ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จากสารเคมีในน้ำทะเล ด้วยที่ว่าฉลาดกว่าทิ้งลงไป อีกหน่อยคงเหลือแต่สุดยอดฉลาดๆๆๆ  แต่คิดคดใจสกปรก แล้วสุดท้ายก็เหมือนโลมา หากผู้คิดได้มาช่วยกันเช็ดน้ำตาโลมา ด้วยหยุดยั้งการใช้สารเคมี ใช้สิ่งที่เกิดจากธรรมชาติมากที่สุด และหากว่าจำเป็นต้องใช้เคมีจริงๆ ก็ขอให้ผู้ขายเคมีตระหนักให้มาก แล้วรับคืนกำจัดกากของเสียที่เกิดจากเคมีจากอุตสาหกรรมด้วยให้ส่วนลดหรือเงินคืนส่วนต่างให้ผู้ผลิตเมื่อเก็บคืน ส่วนผู้ขายเคมีก็ต้องเปิดเผยข้้นตอนการกำจัดกากเคมีอุตสาหกรรมอย่างปลอดภัย มีกระบวนการสอบกลับย้อนรอยได้ถูกต้องให้ประจักษ์


วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เครือข่ายผู้ประกอบการ Farmer Shop กับแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ


บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด  ได้รับเชิญเข้าร่วมเครือข่ายผู้ประกอบการ Farmer Shop 
ซึ่งประกอบด้วย ร้านค้าปลีกที่ผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นเจ้าของร่วมกัน 
 เพื่อสร้างสรรค์ระบบธุรกิจค้าปลีกที่เป็นธรรม


โครงการ Farmer Shop

ร้านค้าปลีกที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคเป็นเจ้าของร่วมกัน เพื่อสร้างสรรค์ระบบธุรกิจค้าปลีกที่เป็นธรรม


som01_jpg.jpg
              
               Farmer Shopเป็นรูปแบบของร้านค้าปลีก ที่เป็นศูนย์รวมและจำหน่ายสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีคุณภาพ ที่ผ่านกระบวนการคัดสรร พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และการสร้างสรรค์ระบบการบริหารจัดการร้านสรรพาหารขนาดเล็กที่ผู้ผลิต และผู้บริโภคจะมาเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยคาดหวังว่าระบบร้านค้าปลีกเชิงสร้างสรรค์ของ Farmer Shop จะช่วยลดดีกรีความเสียเปรียบดุลการค้า สินค้าเกษตรแปรรูปจากต่างประเทศ ด้วยการรณรงค์ให้คนไทยที่รักประเทศไทย
มาช่วยกันอุดหนุนสินค้าไทยที่มีคุณภาพ พร้อมกับการยกระดับการพัฒนาสินค้าเกษตร ซึ่งในที่สุด เกษตรกรไทยคงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น จากการที่คนไทยช่วยคนไทยด้วยกัน ผ่านกลไกของระบบ
Farmer Shopนวัตกรรมที่สร้างสรรค์คุณค่า
ผ่านการวิจัย
                Farmer Shop เป็นกระบวนการดำเนินงานของร้านค้าปลีกสินค้าเกษตรแปรรูป ผ่านกลไกของการบริหารจัดการโซ่อุปทานอย่างบูรณาการ ภายใต้แบรนด์ Farmer Shopที่ครอบคลุมระบบจัดหา การกำหนดราคา สต็อกสินค้า การจัดชั้นวางจำหน่าย การจัดทำรายงานการเงิน การบริหารจัดการ และการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม การจัดตั้ง และดำเนินงาน Farmer Shopในรูปแบบโครงการนำร่องเพื่อการทดสอบระบบ และการพัฒนาไปสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในชุมชน สหกรณ์ และผู้ประกอบการรายย่อย
               Farmer Shopเป็นตัวแบบธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ในทิศทางของการบูรณาการโซ่อุปทาน เพื่อนำสินค้าเกษตรแปรรูปของสถาบันเกษตรกร /สหกรณ์ ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไข และสนใจเข้าร่วมโครงการ เป็นการต่อยอดการนำทุนความรู้ ทุนสังคม และทุนทรัพยากรภายใต้ชุดโครงการวิจัย และขยายผลไปในทิศทางของการพัฒนาระบบธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ตามกรอบทิศทางเชิงนโยบาย ในการพัฒนาเศรษฐกิจ –สังคมของประเทศ และได้ช่องทางการตลาดใหม่ สำหรับสินค้าเกษตรกรของสถาบันเกษตรกร และเกษตรกรรายย่อย ซึ่งจะช่วยลดปัญหา /ข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดผลลัพธ์ที่คาดหวังในรูปของ “ระบบธุรกิจร้านค้าปลีก” สามารถขยายผลไปใช้ประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชน สหกรณ์ และผู้สนใจ เพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพของประชาชนในการแก้ปัญหาความยากจนในอนาคต ภายใต้กระบวนการทำงานในทิศทางของการจัดการโซ่อุปทาน ไปสู่โซ่คุณค่านั้นเป็นการเปิดเวทีให้นักธุรกิจ /ผู้ประกอบการ /สถาบันเกษตรกรที่ให้ความสำคัญกับเรื่องระบบคุณค่าและการค้าที่เป็นธรรม มาร่วมพลังสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ในสังคม การสร้างดุลยภาพแก่ระบบเศรษฐกิจและสังคม โดยลดการพึ่งพาการส่งออก การนำเข้า และการสานต่อนโยบายการสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคการเกษตรไทยภายใต้ยุคการค้าเสรี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

Kuu Ne คูเน่ พร้อมแล้ววันนี้เปิดรับตัวแทนจำหน่าย ผู้แทนขาย ทั่วประเทศ


ลูกค้าคุณ ... ลูกค้าเรา สร้างคุณค่าร่วมกัน

Kuu Ne คูเน่ เชิญคุณมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคู่ค้า นำพาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมผงปรุงครบรส หอมหัวใหญ่ จากธรรมชาติ สู่คุณ ครอบครัว คนรอบข้าง ... บอกต่อฉลาดบริโภค โทร. 086-791 7007 คมชาญ

รูปภาพ : Kuu Ne คูเน่ เชิญคุณมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคู่ค้า นำพาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมผงปรุงครบรส หอมหัวใหญ่ จากธรรมชาติ สู่คุณ ครอบครัว คนรอบข้าง ... ฉลาดบริโภค คู่เน่ ... โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว   www.ptpfoods.com

Kuu Ne คูเน่ ... หนึ่งในผงปรุงครบรสจากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพ ที่โภชนากรเลือกสรร
นำไปใช้ในครัวของโรงพยาบาล และสำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ใช้ชงดื่มเป็นซุปหอมปานะ
ด้วยปราศจากเนื้อสัตว์ สารเคมีปรุงแต่งกลิ่นสีรส และวัตถุกันเสีย อีกทั้งป้องกันความเสี่ยงต่อโรค
คุณค่าเลือกได้วันนี้ ... วันหน้า สุขภาพดีเคลื่อนไหวช่วยเหลือตัวเองได้ ย่อมดีกว่าสะสมเคมีในร่างกาย
เจ็บป่วยบ่อยเกิดโรคใหม่ๆ หาสาเหตุไม่ได้ รักษาแค่เยียวยา ทนทรมานไม่สิ้นสุด มาร่วมฟื้นฟู หยุดเสี่ยง
ด้วยการป้องกันแทนการรักษา เป็นสุขกันถ้วนหน้า เริ่มได้ที่ใกล้ตัว ทุกอย่างที่เข้าปากขอให้ปลอดภัย

มั่นใจได้กับ คูเน่ ... คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ