ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อาหารเสริมสังเคราะห์ แตกต่างกับ อาหารเสริมสกัดจากธรรมชาติอย่างไร ?

อาหารเสริมสังเคราะห์ แตกต่างกับ อาหารเสริมสกัดจากธรรมชาติอย่างไร ?


อาหารและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีอยู่กลาดเกลื่อนในวันนี้ มีจำนวนไม่น้อยที่เสริมวิตามิน และวิตามินที่เสริมนี้ส่วนใหญ่เป็นวิตามินสังเคราะห์ เรื่องอย่างนี้ผู้บริโภคอาจจะไม่รู้ก็ได้ครับ
คำถามมีอยู่ว่าวิตามินสังเคราะห์เหล่านี้ให้ฤทธิ์หรือประสิทธิภาพเท่ากับวิตามินธรรมชาติหรือเปล่า และอาจจะก่อปัญหาได้หรือไม่ เห็นทีจะต้องมาพิจารณากัน
อาหารธรรมชาติคงไม่เป็นปัญหาเพราะวิตามินในอาหารกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นวิตามินจากธรรมชาติ ปัญหาหากจะมีก็อยู่ที่อาหารผ่านกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์อาหารทั้งหลายนั่นแหละ อาหารกลุ่มนี้หากเสริมวิตามินมาด้วยคงต้องดูว่ามีวิตามินสังเคราะห์ผสมลงมามากน้อยแค่ไหน
วิตามินสังเคราะห์ สังเกตกันง่ายๆ ดังนี้ ครับ
  • Ascorbic acid ส่วนใหญ่เป็นวิตามินสังเคราะห์ของวิตามินซี
  • Thiamin HCl หรือ Thiamin hydrochloride เป็นวิตามินสังเคราะห์ของวิตามินบีหนึ่ง
  • Thiamine Mononitrate เป็นวิตามินสังเคราะห์อีกรูปหนึ่งของวิตามินบีหนึ่ง
  • dl-Alpha Tocopherols หรือ mixed Tocopherols เป็นวิตามินสังเคราะห์ของวิตามินอี
  • Pyridoxine HCl หรือ Pyridoxine Hydrochloride เป็นวิตามินสังเคราะห์ของวิตามินบีหก
  • Irradiated Ergosterol เป็นวิตามินสังเคราะห์ของวิตามินดี
  • Vitamin A acetate หรือ vitamin A palmitate เป็นวิตามินสังเคราะห์ของวิตามินเอ
ชื่อที่เขียนไว้บนฉลากมักเป็นภาษาอังกฤษก็ขอให้จำไว้เถอะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี หากเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ ก็มักจะเขียนว่าวิตามินซีหรือ vitamin C หากเขียนว่า Ascorbic acid มีความเป็นไปได้ว่าเป็นวิตามินสังเคราะห์ ซึ่งต้นทุนถูกกว่ากันแยะ
การเติมวิตามินสังเคราะห์ลงในอาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ เป็นเรื่องดีเสียอีกเพราะจะทำให้อาหารมีวิตามินมากขึ้น แต่คงต้องใส่ใจในสองเรื่อง นั่นคือ เรื่องฤทธิ์ของวิตามินซึ่งอาจต่ำกว่าวิตามินตัวเดียวกันที่เป็นวิตามินธรรมชาติ
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าห่วงคือ การบริโภควิตามินสังเคราะห์มากเกินไปอาจเกิดปัญหาขึ้นได้
คนส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงแพทย์และนักโภชนาการบางส่วนมักเข้าใจกันผิดว่า วิตามินสังเคราะห์ให้ฤทธิ์ไม่ต่างจากวิตามินธรรมชาติทั้งยังไม่สร้างปัญหา เห็นทีจะต้องทำความเข้าใจกันใหม่แล้วล่ะครับ
วิตามินสังเคราะห์พัฒนาขึ้นมากว่า 70 ปีแล้ว ตัวแรกเห็นจะเป็นวิตามินบีหนึ่ง ซี่งพัฒนาขึ้นมาในปี ค.ศ.1936 สามปีก่อนที่จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรป ช่วงนั้นเป็นจังหวะที่อาหารขาดแคลน ยิ่งช่วงสงครามเกิดความกลัวกันว่าอาหารธรรมชาติ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิดมีการปนเปื้อนสารพิษ ทำให้มีการใช้วิตามินสังเคราะห์ เสริมลงในอาหารธรรมชาติกันมากขึ้น วิตามินสังเคราะห์หลายชนิดจึงถูกพัฒนาตามๆ กันมาในช่วงนั้น
การสังเคราะห์วิตามินในทางอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องยาก วัตถุดิบก็หาได้ง่ายมีทั้งใช้สารเคมี ใช้แร่ ใช้ผลิตผลทางการเกษตร ต้นทุนการผลิตจึงค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการใช้วิตามินธรรมชาติซึ่งสกัดได้ค่อนข้างยาก เป็นเพราะวิตามินสังเคราะห์ราคาถูกกว่าวิตามินธรรมชาติมากนี่เองที่ทำให้ความนิยมใช้วิตามินสังเคราะห์ เป็นไปอย่างกว้างขวาง มีผลิตภัณฑ์อาหารมากมายที่เสริมวิตามินสังเคราะห์ลงไป ลองไปสังเกตที่ฉลากผลิตภัณฑ์ก็แล้วกันครับ อาจจะเจอชื่อวิตามินอย่างที่บอกไว้แต่ทีแรก
วิตามินอีสังเคราะห์ เป็นวิตามินตัวหนึ่งที่มีการใช้กันมากในทางอุตสาหกรรมอาหาร นักวิทยาศาสตร์พบว่าวิตามินอีสังเคราะห์ให้ฤทธิ์แค่ครึ่งเดียวของวิตามินอีธรรมชาติ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยกว่า ทั้งยังมีช่วงเวลาที่อยู่ในร่างกายสั้นกว่า สรุปก็คือหากใช้วิตามินอีสังเคราะห์ จะต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าวิตามินธรรมชาติถึงเท่าตัวจึงจะให้ฤทธิ์เท่าๆ กัน
วิตามินบีหนึ่งรวมไปถึงวิตามินบีหก ก็มีปัญหาในลักษณะเดียวกับวิตามินอี
แต่ตัวที่อาจจะมีปัญหาค่อนข้างมากคือ วิตามินซี ซึ่งมีการใช้กันมากที่สุด
วิตามินซีที่เสริมอยู่ในอาหารหรือแม้กระทั่งที่ขายกันในรูปของผลิตภัณฑ์ยาส่วนใหญ่เป็นวิตามินซีสังเคราะห์ หรือกรดแอสคอร์บิก คงต้องพิจารณาแล้วล่ะครับว่าวิตามินซีกลุ่มนี้ออกฤทธิ์อย่างไร
วิตามินซีสังเคราะห์ ดูดซึมน้อยกว่าทั้งยังถูกขับออกจากร่างกายมากกว่า วิตามินซีสังเคราะห์อยู่ในรูปของกรด เมื่อขับออกมันอาจสร้างความระคายเคืองให้กับเนื้อเยื่อของไตได้ คงต้องระมัดระวังกันหน่อย หากคิดจะเสริมก็อย่าเสริมให้มันมากจนเกินเหตุ คิดถึงอันตรายของวิตามิน ที่เรามักจะคิดว่าไม่มีอันตรายไว้บ้าง
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าห่วงคือ เคยมีรายงานในสัตว์ทดลองว่า การเสริมวิตามินบีหนึ่งสังเคราะห์ ปริมาณสูงทำให้สัตว์เป็นหมัน นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มกังวลกันว่าปัญหาที่ทำให้คนในหลายประเทศ มีลูกน้อยลงกว่าแต่ก่อนอาจจะเป็นผลมาจากเพศชายมีปริมาณสเปิร์มลดลงก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่นรายงานของมหาวิทยาลัยฟลอริดา กล่าวว่า คนอเมริกันเมื่อปี ค.ศ.1929 มีความเข้มข้นของสเปิร์ม 100 ล้านตัวต่ออสุจิ 1 ซีซี ถึงปี 1973 ความเข้มข้นลดลงเหลือ 60 ล้านตัว เข้าปี 1980 มีรายงานว่าสเปิร์มลดลงเหลือแค่ 20 ล้านตัวเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่จะต้องช่วยกันตรวจสอบคือ ชื่อวิตามินที่เขียนบนฉลากโภชนาการในภาษาไทย ไม่รู้ว่าใช้คำถูกต้องหรือเปล่าหรือไปเข้าใจกันเอาเองว่า Thiamin HCl รวมไปถึงสารอื่นๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นล้วนเป็นวิตามิน จึงใช้ชื่อวิตามินกันตรงๆ ทำให้ดูไม่ออกว่าเป็นวิตามินธรรมชาติหรือสังเคราะห์ เห็นทีจะต้องสอบถามไปที่ อ.ย. ได้คำตอบอย่างไรจะเอามาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่มา : https://sites.google.com/site/yesproductt/word-of-the-week/extra-credit

กินอาหารให้เป็นยา แต่อย่ากินยาเป็นอาหาร

สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือ ชื่อ ‘ ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ‘ เช่น  

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจาก ปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า (ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8.ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี (ไม้เมืองหนาว) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล ่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ‘โมโรอันแซตเทอเรต‘

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร         

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุ ณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จ ะรู้ได้

มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือการเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ อาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้ าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร ่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ปล.โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต ช่วยให้อาการปั่นป่วนในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ‘ คลอเลสเตอรอล ‘ ได้ ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของ เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ ให้เป็น ประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.

ที่มา : http://mblog.manager.co.th/bangwera/th-78692/

สุขบัญญัติ 10 ประการ

สุขบัญญัติ 10 ประการ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง พาลทำให้หลายคนป่วยเป็นไข้ เจ็บเล็ก เจ็บน้อย แต่เราสามารถป้องกันอาการป่วยต่าง ๆ และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปฏิบัติตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ ว่าแต่ สุขบัญญัติ 10 ประการ คืออะไร และมีอะไรบ้าง ไปดูกัน



          สุขบัญญัติ 10 ประการ คือ ข้อกำหนดที่เด็ก และเยาวชน รวมทั้งประชาชนทั่วไป ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย เพราะผู้ที่ปฏิบัติตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ จะเป็นคนมีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรง มีสมรรถภาพในการเรียน การทำงาน และ สุขบัญญัติ 10 ประการ  ยังช่วยให้มีภูมิต้านทานโรค ไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ ด้วย โดย สุขบัญญัติ 10 ประการ หรือ สุขบัญญัติแห่งชาตินี้ รัฐบาลได้ประกาศให้ดำเนินการและเผยแพร่ในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2539 ดังนั้นจึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 28 พฤษภาคม เป็น "วันสุขบัญญัติแห่งชาติ" อีกด้วย

สุขบัญญัติ 10 ประการ ประกอบไปด้วย

1.ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด ทำได้โดย

           อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และสระผมอย่างน้อย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
           ตัดเล็บมือ เล็บเท้า ให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรค
           ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
           ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นอย่างเพียงพอ
           จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

2.รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี โดยการ

           แปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เวลาเช้า และก่อนนอน
           ถูหรือบ้วนปาก หลังทานอาหาร
           เลือกใช้ยาสีฟันและฟลูออไรด์
           หลีกเลี่ยงการทานลูกอม ลูกกวาด ท็อฟฟี่ ขนมหวานเหนียวต่าง ๆ เพื่อป้องกันฟันผุ
           ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
           ไม่ควรใช้ฟันกัดขบของแข็ง

3.ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย

          คือ ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้ง ก่อนและหลังการเตรียม ปรุง และรับประทานอาหาร รวมทั้งหลังการขับถ่าย

4.กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด โดยการ

           เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงหลัก 3 ป คือ ประโยชน์ ปลอดภัย และประหยัด
           ปรุงอาหารให้ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงหลัก 3 ส คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ และสะอาดปลอดภัย
           ทานอาหารที่มีการจัดเตรียม การประกอบอาหาร และใส่ในภาชนะที่สะอาด
           รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
           รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการทุกวัน
           ทานอาหารปรุงสุกใหม่ รวมทั้งใช้ช้อนกลางในการทานอาหารร่วมกัน
           หลีกเลี่ยงทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารรสจัด ของหมักดอง รวมทั้งอาหารใส่สีฉูดฉาด
           ดื่มน้ำสะอาดทุกวัน อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
           ทานอาหารให้เป็นเวลา

5.งดสูบบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ

          ผู้ที่จะมีสุขภาพดีตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ ต้องงดสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดใช้สารเสพติด งดเล่นการพนัน นอกจากนี้ต้องส่งเสริมค่านิยม รักนวลสงวนตัว และมีคู่ครองเมื่อถึงวัยอันควร

6.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น ทำได้โดย

           ให้ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้าน
           สมาชิกทุกคนในครอบครัวควรปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน
           เผื่อแผ่น้ำใจให้กันและกัน
           จัดกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน
           ชวนกันไปทำบุญ

7.ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท ทำได้โดย

           ระมัดระวังป้องกันอุบัติภัยที่อาจเกิดภายในบ้าน เช่น เตาแก๊ส ไฟฟ้า ของมีคม ธูปเทียนที่จุดบูชาพระ ฯลฯ
           ระมัดระวังในการป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น ปฏิบัติตามกฏของการจราจรทางบก ทางน้ำ ป้องกันอันตรายจากโรงฝึกงาน ห้องปฏิบัติการ เขตก่อสร้าง หลีกเลี่ยงการชุมนุมห้อมล้อม ในขณะเกิดอุบัติภัย

8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี โดยการ

           ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
           ออกกำลังกายและเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและวัย
           ตรวจสุขภาพประจำปีกับแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

9.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ โดยการ

           พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างต่ำ 8 ชั่วโมง
           จัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน และที่ทำงานให้น่าอยู่
           หาทางผ่อนคลายความเครียด เมื่อมีปัญหา หรือเรื่องไม่สบายใจรบกวน อาจหางานอดิเรกทำ ใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูภาพยนตร์
           ช่วยเหลือผู้อื่นที่มีปัญหา

10.มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม เช่น

           กำจัดขยะภายในบ้าน และทิ้งขยะในที่รองรับ
           หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โฟม พลาสติก สเปรย์ เป็นต้น
           มีและใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
           กำจัดน้ำทิ้งในครัวเรือนและโรงเรียนด้วยวิธีที่ถูกต้อง
           ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
           อนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม เช่น ชุมชน ป่า น้ำ และสัตว์ป่า เป็นต้น

          ถ้าหากใครปฏิบัติได้ตาม สุขบัญญัติ 10 ประการ นี้ รับรองว่า จะมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนแน่นอน

ที่มา : http://health.kapook.com/view6623.html

อัพเดท 10 โรคเสี่ยงของคนไทย

อัพเดท 10 โรคเสี่ยงของคนไทย

   10 โรคร้ายที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต รวมทั้ง 10 โรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย เป็นภัยเงียบที่แฝงมากับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ แม้เราจะรู้จักโรคเหล่านี้มาบ้าง แต่วันนี้มาเราอัพเดทข้อมูลกันดีกว่าค่ะ เพื่อจะได้รู้เท่าทันและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    
มะเร็งรองแชมป์มัจจุราช        

   โรคมะเร็งหากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะรายที่พบในระยะลุกลาม ในประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันมา 5 ปี มีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 50,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน พบผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 70,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 6 อันดับแรกในปี 2547 ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งในช่องปาก โดยมะเร็งที่ผู้ชายเป็นกันมากอันดับ 1 ได้แก่ มะเร็งตับ รองลงมาคือ มะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนมะเร็งที่พบในผู้หญิงตามลำดับคือมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ
แอลกอฮอล์ชนวนโรคกายและโรคใจ

   อย่างที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์ เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายมากมาย เช่นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ ตับอ่อนอักเสบ โรคกระเพาะและกระเพาะรั่ว ภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้มักเป็นเรื้อรังและทำให้ผู้เจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ทั้งยังก่อเกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง (เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ)
ไขมันในเลือดสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ

   แม้แต่โรคทางจิตก็มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน ต้นเหตุการป่วยทางจิต 1 ใน 3 มาจากการติดเหล้า และพบว่าในกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 90% เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือใช้แอลกอฮอล์ หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน โดยผู้ป่วยทางจิตจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าผู้ป่วยทางกายประมาณ 3 เท่าตัว โดยเฉพาะคนติดเหล้ามากๆ จะทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง และคลุ้มคลั่ง
วัณโรค ภัยในอากาศที่กำลังกลับมา

   ปอดอักเสบ วัณโรค โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นกลุ่มโรคเดียวกัน แต่ที่กำลังต้องจับตาเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือวัณโรค ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า มายโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลสิส (Mycobacterium tuberculosis) ตอนนี้กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขและมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น จากรายงานขององค์การอนามัยโลกล่าสุดในปี 2549 ระบุว่าพบประชากรโลก 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 ล้านคนติดเชื้อวัณโรค และมีผู้ป่วย 15 ล้านคน สำหรับคนไทยคาดว่าราว 20 ล้านคนมีเชื้อวัณโรคในตัว พร้อมกำเริบหากสุขภาพทรุดโทรม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือติดเชื้อเอดส์ ผู้ติดเชื้อวัณโรคเหล่านี้อาจป่วยได้ถึงปีละ 1 แสนคน

   ประเทศไทยมีปัญหาวัณโรคอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลกและถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 6 รองจากมะเร็ง โรคหัวใจ อุบัติเหตุ เอดส์ ไข้เลือดออก ในปี 2549 ตรวจพบผู้ป่วยวัณโรค 58,639 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 70 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ที่ตรวจพบเชื้อในเสมหะ ซึ่งสามารถแพร่เชื้อจากการไอจามติดต่อสู่คนรอบข้างได้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-44 ปี
   โรคร้ายที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตนั้น มีความสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่คนไทยประสบ โรคเรื้อรังเป็นโรคที่รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก และก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกมากมาย อย่างความดันสูง การรักษาก็ต้องกินยาตลอด โรคเบาหวาน บางคนไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่เคยสังเกต ไม่ตรวจโรคเลย แล้วเมื่อมีอาการเรื้อรัง ก็จะทำให้ไตอักเสบ หรือเกิดอาการไตวายได้

   10 อันดับโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย มีดังนี้
  1. โรคหัวใจและหลอดเลือด  
  2. โรคของต่อมไร้ท่อ *(โรคกลุ่มเบาหวาน ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต)
  3. โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น  
  4. โรคระบบทางเดินอาหาร  
  5. โรคระบบทางเดินหายใจ  
  6. โรคภูมิแพ้   
  7. โรคระบบประสาทจิตเวช 
  8. โรคระบบทางเดินปัสสาวะ  
  9. โรคของปาก หู คอ จมูก   
  10. โรคผิวหนัง  
ปรับพฤติกรรมการกิน ป้องกันโรค

   โรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ หลอดเลือด มีรากฐานมาจากเรื่องน้ำหนักตัว คือถ้าอ้วนแล้วจะมีโรคพวกนี้ตามมา โรคเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ในเรื่องของระดับน้ำตาล กับระดับไขมัน ซึ่งจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ โดยไม่แสดงอาการ คือพอมีอาการบอกว่าเป็นโรคก็แปลว่าสะสมมาหลายปีแล้ว อาจจะ 5 ปี 10 ปีแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งเราจะเห็นว่าการเกิดของมันเหมือนกับการเกิดของภูเขาน้ำแข็งกว่าจะรู้เราก็แย่แล้ว ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงเน้นการป้องกันแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เพราะในระยะที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลหรือไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับน้ำตาล ถ้าเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน ลดน้ำหนักลงมาในคนที่อ้วน โอกาสจะเป็นเบาหวานที่แท้จริงจะน้อยลง แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแล้วจะต้องทานยารักษาตัวไปตลอดชีวิต และค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูง

   โรคเหล่านี้มาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกหลัก และการไม่ออกกำลังกาย ตอนนี้โรคที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เบาหวาน คนไทยเป็นกันเยอะขึ้นเกือบจะสิบเปอร์เซ็นต์ และการเกิดของโรครวดเร็วมาก อีกอย่างคือพออ้วนแล้วจะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบฮอร์โมนเปลี่ยนไป ซึ่งจะเกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ คีย์สำคัญคือดูแลน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน พยายามทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าอ้วนลงพุงเมื่อไรโรคต่างๆ ที่เราพูดถึงจะเกาะกันมา แล้วก็พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น อย่างสม่ำเสมอ มีข้อพิสูจน์แล้วจากต่างประเทศว่าสามารถป้องกันการเป็นเบาหวานได้ถึง 58 เปอร์เซ็นต์

   นอกจากนี้ควรปรับวิถีชีวิตและวิธีคิดให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง เลิกเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ ลองทำดูนะคะ อย่ารอให้ป่วยก่อน เพราะจะสายเกินไป

ที่่มา : http://www.healthandcuisine.com/detail.aspx?ID=1915#.VdXLjGb-KM8

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หลวงปู่ชาสอนศีล สมาธิ ปัญญา ... จงรีบสร้างบารมีด้วยการทำดี

หลวงปู่ชาสอนศีล สมาธิ ปัญญา

หลวงปู่ชาสอนศีล สมาธิ ปัญญา
ท่านทั้งหลายได้นับถือพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานาน เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับธรรมในพระพุทธศาสนามาจากครูบาอาจารย์มาก็มาก ซึ่งบางท่านก็สอนอย่างพิสดารกว้างเกินไป จนไม่ทราบว่าจะกำหนดเอาไปปฏิบัติได้อย่างไร บางท่านก็สอนลัดเกินไป จนผู้ฟังยากที่จะเข้าใจ เพราะว่ากันตามตำรา บางท่านก็สอนพอปานกลาง ไม่กว้างและไม่ลัด เหมาะที่จะนำไปปฏิบัติจนตัวเองได้รับประโยชน์จากธรรมนั้นๆ พอสมควร
อาตมาจึงใคร่อยากจะเสนอข้อคิดและการปฏิบัติ ซึ่งเคยดำเนินมา และได้แนะนำศิษย์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำให้ท่านทั้งหลายได้ทราบบางทีอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจอยู่บ้างก็เป็นได้ ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธธรรมนั้น เบื้องต้นจะต้องทำตนให้เป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่เป็นประจำ และเข้าใจความหมายของคำว่าพุทธธรรมต่อไปว่า
  • พุทธะ หมายถึงท่านผู้รู้ตามเป็นจริง จนมีความสะอาด สงบ สว่างในใจ
  • ธรรม หมายถึงตัวความสะอาด สงบ สว่าง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงพุทธธรรม ก็คือ คนเข้าถึงศีลสมาธิ ปัญญา นี่เอง
การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรม
ตามธรรมดาการที่บุคคลจะไปถึงบ้านถึงเรือนได้นั้น มิใช่บุคคลที่มัวนอนคิดเอา เขาเองจะต้องลงมือเดินทางด้วยตนเอง และเดินทางให้ถูกทางด้วย จึงจะมีความสะดวก และถึงที่หมายได้ หากเดินผิดทาง เขาจะได้รับอุปสรรค เช่น พบขวากหนามเป็นต้น และยังไกลที่หมายออกไปทุกที หรือบางทีอาจจะได้รับอันตรายระหว่างทาง ไม่มีวันที่จะเข้าถึงบ้านได้ เมื่อเดินไปถึงบ้านแล้วจะต้องขึ้นอยู่อาศัยพักผ่อนหลับนอนเป็นที่สบายทั้งกายและใจ จึงจะเรียกว่าคนถึงบ้านได้โดยสมบูรณ์ ถ้าหากเป็นแต่เพียงเดินเฉียดบ้าน หรือผ่านบ้านไปเฉยๆ คนเดินทางผู้นั้นจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการเดินทางของเขา ข้อนี้ฉันใด การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมก็เหมือนกัน ทุกๆ คนจะต้องออกเดินทางด้วยตนเอง ไม่มีการเดินแทนกัน และต้องเดินไปตามทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงซึ่งที่หมาย ได้รับความสะอาด สว่าง สงบสว่าง นับว่าเป็นประโยชน์เหลือหลายแก่ผู้เดินทางเอง แต่ถ้าหากผู้ใดมัวแต่อ่านตำรา กางแผนที่ออกดูอยู่ตั้งร้อยปีร้อยชาติ ผู้นั้นไม่สามารถไปถึงที่หมายได้เลย เขาจะเสียเวลาไปเปล่าๆ ปล่อยประโยชน์ที่ตนจะได้รับให้ผ่านเลยไป ครูบาอาจารย์เป็นผู้บอกให้เท่านั้น เราทั้งหลายได้ฟังแล้วจะเดินหรือไม่เดิน และจะได้รับผลมากน้อยเพียงใด นั้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตน
อย่ามัวอ่านสรรพคุณยาจนลืมกินยา
อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนหมอยายื่นขวดยาให้คนไข้ ข้างนอกขวดเขาเขียนบอกสรรพคุณของยาไว้ว่า แก้โรคชนิดนั้นๆ ส่วนตัวยาแก้โรคนั้นอยู่ข้างในขวด ที่คนไข้มัวอ่านสรรพคุณของยาที่ติดไว้ข้างนอกขวด อ่านไปตั้งร้อยครั้งพันครั้ง คนไข้ผู้นั้นจะต้องตายเปล่า โดยไม่ได้รับประโยชน์จากตัวยานั้นเลย และเขาจะมาร้องตีโพยตีพายว่าหมอไม่ดี ยาไม่มีสรรพคุณ แก้โรคอะไรไม่ได้ เขาจึงเห็นว่ายาที่หมอให้ไว้ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยเปิดจุกขวดรินยาออกกินเลย
เพราะมัวแต่ไปติดใจอ่านฉลากยา ซึ่งติดอยู่ข้างขวดเสียจนเพลินแต่ถ้าหากเขาเชื่อหมอจะอ่านฉลากครั้งเดียวหรือไม่อ่านก็ได้ แต่ลงมือกินยาตามคำสั่งของหมอ ถ้าคนไข้เป็นน้อย เขาก็หายจากโรค แต่ถ้าหากเป็นมาก อาการของโรคก็จะทุเลาลง และถ้าหากกินบ่อยๆ โรคก็จะหายไปเอง ที่ต้องกินยามากและบ่อยครั้ง ก็เพราะโรคเรามันมาก เรื่องนี้เป็นธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นท่านผู้อ่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ จึงจะเข้าใจดี
สรีรโอสถและธรรมโอสถ
พวกแพทย์พวกหมอเขาปรุงยาปราบโรคทางกาย จะเรียกว่าสรีรโอสถ ก็ได้ ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้านั้นใช้ปราบโรคทางใจ เรียกว่า ธรรมโอสถ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงเป็นแพทย์ผู้ปราบโรคทางใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โรคทางใจเป็นได้ไวและเป็นได้ทุกคน ไม่เว้นเลย เมื่อท่านรู้ว่าท่านเป็นไข้ใจ จะไม่ใช้ธรรมโอสถรักษาบ้างดอกหรือเข้าถึงพุทธธรรมด้วยใจ
พิจารณาดูเถิด การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมมิใช่เดินด้วยกายแต่ต้องเดินด้วยใจจึงจะเข้าถึงได้ ได้แบ่งผู้เดินทางออกเป็น 3 ชั้น คือ
  1. ชั้นต่ำ ได้แก่ ผู้รู้จักปฏิญาณตนเองเอาพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอาศัย ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนด้วยดี ละทิ้งประเพณีที่งมงายและเชื่อมงคลตื่นข่าว จะเชื่ออะไรต้องพิจารณาเหตุผลเสียก่อน คนพวกนี้เรียกว่า สาธุชน
  2. ชั้นกลาง หมายถึง ผู้ปฏิบัติจนเชื่อต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย รู้เท่าทันสังขาร พยายามสละความยึดมั่นถือมั่นให้น้อยลง มีจิตเข้าถึงธรรมสูงขึ้นเป็นขั้นๆ ท่านเหล่านี้เรียกว่าพระอริยบุคคล คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี
  3. ชั้นสูง ได้แก่ผู้ปฏิบัติจนกาย วาจา ใจ เป็นพุทธะ เป็นผู้พ้นจากโลก อยู่เหนือโลก หมดความยึดถืออย่างสิ้นเชิง เรียกว่า พระอรหันต์ ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด
การทำตนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
ศีลนั้น คือระเบียบควบคุมรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อย ว่าโดยประเภทมีทั้งของชาวบ้านและของนักบวช แต่เมื่อกล่าวโดยรวบยอดแล้วมีอย่างเดียว คือ เจตนา ในเมื่อเรามีสติระลึกได้อยู่เสมอเพื่อควบคุมใจให้รู้จักละอายต่อการทำชั่วเสียหาย และรู้สึกตัวกลัวผลของความชั่วจะตามมา พยายามรักษาใจให้อยู่ในแนวทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกที่ควรเป็นศีลอย่างดีอยู่แล้ว ตามธรรมดา เมื่อเราใช้เสื้อผ้าที่สกปรกและตัวเองก็สกปรก ย่อมทำให้จิตใจอึดอัดไม่สบาย แต่ถ้าหากเรารู้จักรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ย่อมทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน ดังนั้นเมื่อศีลไม่บริสุทธิ์เพราะกายวาจาสกปรก ก็เป็นผลให้จิตใจเศร้าหมอง ขัดต่อการปฏิบัติธรรม และเป็นเครื่องกั้นใจมิให้บรรลุถึงจุดหมาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจที่ได้รับการฝึกมาดีหรือไม่เท่านั้น เพราะใจเป็นผู้สั่งให้พูดให้ทำ ฉะนั้นเราจึงต้องมีการฝึกจิตใจต่อไป
การฝึกสมาธิ
การฝึกสมาธิ ก็คือการฝึกจิตของเราให้ตั้งมั่นและมีความสงบเพราะตามปกติ จิตนี้เป็นธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง ห้ามได้ยาก รักษาได้ยาก ชอบไหลไปตามอารมณ์ต่ำๆ เหมือนน้ำชอบไหลสู่ที่ลุ่มเสมอ พวกเกษตรกรเขารู้จักกั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ในการเพาะปลูกต่างๆ มนุษย์เรามีความฉลาดรู้จักเก็บรักษาน้ำ เช่น กั้นฝาย ทำทำนบทำชลประทาน เหล่านี้ก็ล้วนแต่กั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ทั้งนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ให้ความสว่างและใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ก็ยังอาศัยน้ำที่คนเรารู้จักกั้นไว้นี่เอง ไม่ปล่อยให้มันไหลลงที่ลุ่มเสียหมด ดังนั้นจิตใจที่มีการกั้นการฝึกที่ดีอยู่ ก็ให้ประโยชน์อย่างมหาศาลเช่นกัน ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “จิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้ การฝึกจิตให้ดีย่อมสำเร็จประโยชน์” ดังนี้เป็นต้น เราสังเกตดูแต่สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ก่อนที่เราจะเอามาใช้งานต้องฝึกเสียก่อน เมื่อฝึกดีแล้วเราจึงได้อาศัยแรงงานมันทำประโยชน์นานาประการ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีคุณค่ามากมาย
ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมมีคุณค่ามากมายกว่ากันหลายเท่า ดูแต่พระพุทธองค์และพระอริยสาวก ได้เปลี่ยนภาวะจากปุถุชนมาเป็นพระอริยบุคคล จนเป็นที่กราบไหว้ของคนทั่วไปและท่านยังได้ทำประโยชน์อย่างกว้างขวางเหลือประมาณที่เราๆจะกำหนด ก็เพราะพระองค์และสาวกได้ผ่านการฝึกจิตมาด้วยดีแล้วทั้งนั้น จิตที่เราฝึกดีแล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพทุกอย่าง ยังเป็นทางให้รู้จักทำงานด้วยความรอบคอบ ไม่เป็นคนหุนหันพลันแล่น ทำให้ตนเองมีเหตุผล และได้รับความสุขตามสมควรแก่ฐานะ
การฝึกอานาปานสติภาวนา
การฝึกจิตมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เห็นว่ามีประโยชน์และเหมาะสมที่สุด ใช้ได้กับบุคคลทั่วไป วิธีนั้นเรียกว่า อานาปานสติ-ภาวนา คือ มีสติจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าและหายใจออก ที่สำนักนี้ให้กำหนดลมที่ปลายจมูกโดยภาวนาว่าพุทโธ ในเวลาเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ก็ภาวนาบทนี้ จะใช้บทอื่น หรือจะกำหนดเพียงการเข้าออกของลมก็ได้ แล้วแต่สะดวก ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าพยายามกำหนดลมเข้าออกให้ทันเท่านั้น การเจริญภาวนาบทนี้จะต้องทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่ว่าทำครั้งหนึ่งแล้วหยุดไปตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ หรือตั้งเดือนจึงทำอีก อย่างนี้ไม่ได้ผล พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ภาวิตา พหุลีกตา อบรมกระทำให้มาก คือทำบ่อยๆ ติดต่อกันไป
ใช้สติกำหนดลมหายใจเพียงอย่างเดียว
การฝึกจิตใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผล ควรเลือกหาที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เช่น ในสวนหลังบ้าน หรือต้นไม้ที่มีร่มเงาดีๆ แต่ถ้าเป็นนักบวชควรแสวงหาเรือนว่าง (กระท่อม) โคนไม้ ป่า ป่าช้า ถ้ำ ตามภูเขา เป็นที่บำเพ็ญ เหมาะที่สุด เราจะอยู่ที่ใดก็ตาม ใช้สติกำหนดลมหายใจอย่างเดียว แม้จิตใจจะคิดไปเรื่องอื่น ก็พยายามดึงกลับมาทิ้งเรื่องอื่นๆทั้งหมด โดยไม่พยายามคิดถึงมัน รู้ให้ทันกับความคิดนั้นๆ เมื่อทำเข้าบ่อยๆ จิตจะสงบลงเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแล้ว ถอยจิตนั้นมาพิจารณาร่างกาย ร่างกายคือขันธ์ ๕ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หาตัวตนไม่ได้ มีแต่ธรรมชาติไหลไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น ความยึดมั่นต่างๆ จะน้อยลงๆ เพราะเรารู้เท่าทันมัน เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้น
ปัญญาเกิดเมื่อจิตดีแล้ว
เมื่อเราใช้จิตที่ฝึกดีแล้วพิจารณารูปนามอยู่อย่างนี้ ให้รู้แจ้งแน่ชัดว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปัญญารู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของสังขารที่เกิด เป็นเหตุให้เราไม่ยึดถือหรือหลงใหล เมื่อเราได้อะไรมาก็มีสติ ไม่ดีใจจนเกินไป เมื่อของสูญหายไป ก็ไม่เสียใจจนเกิดทุกขเวทนา เพราะรู้เท่าทัน เมื่อประสบความเจ็บไข้หรือได้รับทุกข์อื่นๆ ก็มีการยับยั้งใจ เพราะอาศัยจิตที่ฝึกมาดีแล้ว เรียกว่ามีที่พึ่งทางใจเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเกิดปัญญารู้ทันตามความเป็นจริง ที่จะเกิดปัญญาเพราะมีสมาธิ สมาธิจะเกิดเพราะมีศีล มันเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้ ไม่อาจแยกออกจากกันไปได้
ลมหายใจกับศีล สมาธิ ปัญญา
สรุปได้ความดังนี้ อาการบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจ ข้อนี้เป็นศีล การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิ การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจว่าไม่เที่ยง ทนได้ยากมิใช่ตัวตน แล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา การทำอานาปานสติภาวนา จึงกล่าวได้ว่าเป็นการบำเพ็ญทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน และเมื่อทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้ครบ ก็ชื่อว่าได้เดินทางตามมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางสายเอกประเสริฐกว่าทางทั้งหมด เพราะจะเป็นการเดินทางเข้าถึงพระนิพพานเมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นการเข้าถึงพุทธธรรมอย่างถูกต้องที่สุด
ผลจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา
เมื่อเราปฏิบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ย่อมมีผลปรากฏตามระดับจิตของผู้ปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งแบ่งเป็น 3 พวก ดังต่อไปนี้
  1. สำหรับสามัญชนผู้ปฏิบัติตาม ย่อมทำให้เกิดความเชื่อในคุณพระรัตนตรัย ถือเอาเป็นที่พึ่งได้ ทั้งเชื่อตามผลกรรมว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว จะทำให้ผู้นั้นมีความสุขความเจริญยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนได้กินขนมที่มีรสหวาน
  2. สำหรับพระอริยบุคคลชั้นต่ำ ย่อมมีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย เป็นผู้มีจิตใจผ่องใส ดิ่งสู่นิพพานเปรียบเหมือนคนได้กินของหวาน ซึ่งมีทั้งรสหวานและมัน
  3. สำหรับท่านผู้ได้บรรลุอรหัตตผล ย่อมมีความหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ทั้งปวง เพราะเป็นพุทธะแล้ว พ้นจากโลก อยู่จบพรหมจรรย์เปรียบเหมือนได้กินของหวาน ที่มีทั้งรสหวาน มัน และหอม
จงรีบสร้างบารมีด้วยการทำดี
เราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เป็นการยากแท้ที่สัตว์ทั้งหลายล้านตัวไม่มีโอกาสอย่างเรา จงอย่าประมาท รีบสร้างบารมีให้แก่ตนด้วยการทำดี ทั้งชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง อย่าปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าปราศจากประโยชน์เลย ฉะนั้น ควรจะทำตนให้เข้าถึงพุทธธรรมเสียแต่วันนี้
ที่มา : https://torthammarak.wordpress.com/2011/03/24/หลวงปู่ชาสอนศีล-สมาธิ-ปัญญา

วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ประวัติวันแม่แห่งชาติ

 วันแม่แห่งชาติ  ตรงกับวันพุธที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี

    
วันแม่แห่งชาติ
               
วันแม่แห่งชาติ ที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า วันแม่ ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือวันที่๑๒ สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ และถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติด้วย
          ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์และเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเย็นระรื่นใจ จึงยกย่องให้ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์ เป็นดอกไม้วันแม่แห่งชาติ ซึ่งทางราชการให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา อ่านเพิ่มเติม
          แต่เดิมนั้น วันแม่แห่งชาติได้กำหนดเอาวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๙๓ ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่ มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นครั้งแรก เป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างออกไปได้ การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ ประกวดคำขวัญวันแม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่งๆ ขึ้น ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม (สมัยนั้น) แต่ทั่วไปเรียกกันว่า วันแม่ของชาติ
 
          ต่อมาถึง พุทธศักราช ๒๕๑๙ ทางราชกาารได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ เริ่มในปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ เป็นต้นมา จากหนังสือของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อแม่หลวงของปวงชน พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ มีข้อความตอนหนึ่งเทิดพระเกียรติไว้ว่า
 
          "แม่ที่ดีย่อมรู้จักส่งเสริมธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ เพราะแม่ทราบดีว่าถ้าขาดสิ่งเหล่านี้แล้วความเป็นไทยที่แท้จริงจะมิปรากฏอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา
 
          แม่ที่ดีย่อมประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ตามระบอบของการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข โดยรักเคารพและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด
 
          หญิงไทยทุกคน ย่อมจะมีคุณลักษณะต่างๆ ของแม่ที่ดีดังกล่าวข้างต้นอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกอบรม แต่จะหาหญิงใดที่มีคุณลักษณะครบถ้วนทุกประการเสมอเหมือนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ นั้นไม่ง่ายนัก ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเทิดทูนพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าทรงเป็นแม่หลวงของปวงชน ผู้ทรงเป็นศรีสง่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของบ้านเมืองและของประชาชนชาวไทยทั้งมวล"
 
          ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องของวันแม่ของชาติตามเหตุผลของทางราชการ
 
          ส่วนที่เกี่ยวกับวันแม่ของไทยตามความรู้สึกนึกคิดทั่วไปของคนไทยผู้เป็นแม่ คำว่า แม่ นี้เป็นคำที่ซาบซึ้ง ไม่มีการกำหนดวัน เวลา แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจของผู้เป็นแม่และลูกมานานแล้ว ดังสำนวนไทยประโยคหนึ่งว่า "แม่ใครมาน้ำตาใครไหล" ซึ่งพระวรเวทย์พิสิฐได้อธิบายไว้ในหนังสือวรรณกรรมเรื่อง "แม่" ว่า
 
          "เด็กไทยตามหมู่บ้านในสมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กมักเล่นกันเป็นหมู่ๆ เด็กคนไหนแม่อยู่บ้าน เวลาเขาเล่นอยู่ในหมู่เพื่อนหน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กคนไหนที่แม่ไม่อยู่บ้าน ต่างว่าไปทำมาหากินไกลๆ หรือไปธุระที่ไหนนานๆ ก็มีหน้าตาเหงาหงอย ถึงจะเล่นสนุกสนานไปกับเพื่อนในเวลานั้นก็พลอยสนุกไปแกนๆ จนเด็กเพื่อนๆ กันรู้กิริยาอาการ เพราะฉะนั้น พอเด็กๆ เพื่อนๆ แลเห็นแม่เดินกลับมาแต่ไกลก็พากันร้องขึ้นว่า แม่ใครมาน้ำตาใครไหล แล้วเด็กคนนั้นผละจากเพื่อเล่นวิ่งไปหาแม่ กอดแม่ น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความปลื้มปีติ แล้วจึงหัวเราะออกลักษณะการที่เด็กแสดงออกมาจากน้ำใจอันแท้จริงอย่างนั้นย่อมเกิดจากความสนิทสนม ชิดเชื้อมีเยื่อใยต่อกัน แม่ไปไหนจากบ้านก็คิดถึงลูกและลูกก็เปล่าเปลี่ยวใจเมื่อแม่ไม่อยู่บ้าน นี่คือธรรมชาติ ไม่มีใครสร้างสรรค์บันดาล มันเกิดขึ้นเอง"
 
          และอีกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มเดิมที่อ้างข้างต้นให้ความหมายของคำว่า "แม่" ว่า
 
          "เสียงที่เปล่งออกมาจากปาก เป็นคำที่มีความหมายว่า แม่เป็นเสียและความหมายที่ซึ้งใจมีรสเมตตาคุณ กรุณาคุณ และความรักอยู่ในคำนี้บริบูรณ์ เด็กน้อยที่เหลียวหาแม่ไม่เห็นก็ส่งเสียงเรียกตะโกนเรียก แม่ แม่ ถ้าไม่เห็นก็ร้องไห้จ้า ถ้าเห็นแม่มาก็หัวเราะทั้งน้ำตา นี่เพราะอะไร เราเดาใจเด็กว่า เมื่อไม่เห็นแม่ เด็กต้องรู้สึกใจหายดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าขาดผู้ที่ปกปักรักษาให้ปลอดภัย แต่พอเห็นแม่เข้าเท่านั้นก็อุ่นใจ ไม่กลัวเกรงอะไรทั้งหมด
          เราที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อเอ่ยคำว่าแม่ทีไร ก็มักจะรู้สึกเกินออกไปจากความหมายที่เป็นชื่อเท่านั้น ย่อมนึกถึงความสัมพันธ์ที่แม่มีต่อเราเกือบทุกครั้ง แม่รักลูกถนอมลูก สงสารลูก หวังดีต่อลูก จะไปไหนจากบ้านก็เป็นห่วงลูก รับประทานอะไรก็คิดถึงลูก ถึงกับแบ่งของรับประทานนั้นไว้ให้ลูก ลักษณะเหล่านี้ย่อมตรึงใจเรามิวาย"
 
          อย่างไรก็ตาม การที่ทางราชการประกาศกำหนดวันที่ ๑๒ สิงหาคม ของทุกปีเป็น วันแม่แห่งชาติ ย่อมก่อให้เกิดวันอันเป็นที่ระลึกที่สำคัญยิ่งของไทยเราวันหนึ่งและกำหนดให้ถือว่า ดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่ตัวเรา อย่างคำประพันธ์บทดอกสร้อยชื่อ แม่จ๋า ของ ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ที่ว่า

ดอกเอ๋ยดอกมะลิ


ถึงยามผลิกลิ่นพราวสกาวต้น
สดสะอาดปราศสีราคีระคน
เหมือนกมลสดใสหมดระคาย


กลิ่นมะลิหอมกระไรไม่รู้สร่าง
เปรียบได้อย่างรักแท้ไม่แปรหาย
อันรักแท้แลหัวใจได้บรรยาย
ขอเชิญทาย ณ ที่ไหนจากใครเอย


ที่มา : http://guru.sanook.com/2537/

ผิวเด้งไม่ต้องโบ๊ะไม่ต้องฉีด คอลลาเจนในอาหารหาทานง่ายกว่าเยอะ

คอลลาเจนคืออะไร

รายการวันละนิด วิทย์เทคโน กับ สวทช. กระทรวงวิทย์
คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งของร่างกายที่มีกรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด เป็นสารตั้งต้นหลักของผิวพรรณ กระดูก และผนังหลอดเลือด ร่างกายของคนเราจะมีคอลลาเจนอยู่ร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือ 1 ส่วน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย คอลลาเจนมีส่วนสำคัญทำให้ผิวพรรณมีชุ่มชื้น เต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น และสารคอนดรอยตินในคอลลาเจนยังช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกอ่อน ลดอาการเสื่อมของไขข้อในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังช่วยให้ไขมันที่สะสมในร่างกายถูกเผาผลาญเป็นพลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพทำให้มีรูปร่างดี และไม่อ้วน  ที่มา : http://www.nstda.or.th/vdo-nstda/sci-day-techno/1678-collagen


          แหล่งคอลลาเจนในอาหารที่หลายคนอาจไม่เชื่อว่าอาหารที่มีคอลลาเจ­­นจะหากินได้ง่ายขนาดนี้ เอาล่ะสิ ! เตรียมกรี๊ดให้เต็มที่เพราะการมีผิวเด้งตึงน่าจะอยู่ไม่ไกลเกิน­­เอื้อมแล้วจริง ๆ 

          ยุคสมัยนี้ใครอยากขาวใสเด้งก็พึ่งมีดหมอและการศัลยกรรมได้อย่าง­­กับเนรมิต โดยเฉพาะการฉีดคอลลาเจนเพื่อบำรุงผิวพรรณก็มีทั้งหมอแท้หมอเถื่­­อนแทบทุกมุมถนน แต่รู้ไหมคะว่าหากอยากมีผิวดูเด็กไม่จำเป็นต้องทำชีวิตให้ยากแล­­ะเสี่ยงต่ออันตรายขนาดนั้น แค่กินอาหารให้ถูก เลือกอาหารที่มีคอลลาเจนแฝงอยู่ตามนี้ก็มีผิวโบ๊ะเต่งตึงเหมือน­­เกิดใหม่ในเวอร์ชั่นที่ไฉไลกว่าเดิม 

 คอลลาเจนคืออะไร 

          คอลลาเจน คือ โปรตีนเมตริกซ์นอกเซลล์ที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ ทำหน้าที่คล้าย ๆ กาวที่คอยยึดเกาะเซลล์ผิวหนัง เอ็น และกล้ามเนื้อให้แน่นสนิทเต่งตึง และกว่า 80% ของเซลล์ผิวหนังในร่างกายก็มีเจ้าคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบ เพราะฉะนั้นหากขาดคอลลาเจนไปก็แน่นอนว่าผิวพรรณจะหย่อนยานเหี่ย­­วย่น ดังเช่นคนแก่ที่คอลลาเจนค่อย ๆ ลดลงไปตามวันและเวลา 


 ประโยชน์ของคอลลาเจน 

          หลัก ๆ แล้วคอลลาเจนเป็นโปรตีนใต้ผิวหนังที่คอยยึดเซลล์ผิวให้เต่งตึง แต่อย่างที่บอกว่ากาลเวลาสามารถพรากคอลลาเจนไปจากผิวของเราได้ ดังนั้นประโยชน์ของคอลลาเจนที่เด่นมาก ๆ คือ ช่วยเติมเต็มผิวคล้อยหย่อนยานให้กลับมาเรียบตึง อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาผิวที่ถูกความร้อนหรือรังสียูวีเผาไหม้จ­­นกลายเป็นผิวเสีย 

          นอกจากนี้ ดร.เรย์ ซาเฮเลียน ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ยังอวดสรรพคุณของคอลลาเจนในด้านช่วยรักษาโรคข้อและกระดูกเสื่อม­­ และโรคไขข้ออักเสบอีกด้วยนะคะ 

          รู้จักคอลลาเจนและประโยชน์ของคอลลาเจนไปคร่าว ๆ แล้ว นับจากบรรทัดนี้ไปเตรียมสายตาให้ดี ๆ ค่ะ นี่แหละอาหารที่เขาว่ากันว่ามีคอลลาเจนบำรุงความเต่งตึงล่ะ ลุยเลย ! 

ถั่วเหลือง

 ถั่วเหลือง 

          ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกชนิด รวมไปถึงชีสทุกประเภทมีเจนิสติน (genistein) สารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไอโซฟลาโวน มีส่วนช่วยเร่งการผลิตคอลลาเจน ยกกระชับผิวพรรณให้เต่งตึง แถมช่วยบล็อกเอนไซม์ตัวร้ายที่จะทำร้ายผิวให้หย่อนคล้อยมีรอยตี­­นกา 

 ผักใบเขียว 

          ผักใบเขียวทุกชนิด ยิ่งเขียวเข้มยิ่งดีอย่างพวกคะน้า ผักกาดหอม ผักสลัด ผักโขม กะหล่ำปลี ผักเคล และหน่อไม้ฝรั่ง ผักสีเขียวทั้งหมดนี้ขึ้นชื่อว่ากระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้อย่า­­งมีประสิทธิภาพ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า ลูติน (lutein) 

โดยงานวิจัยเรื่องผิวพรรณจากฝรั่งเศสก็แนะนำว่า วัน ๆ หนึ่งควรให้ร่างกายได้รับลูตินประมาณ 10 กรัม (เท่ากับทานผักโขม 1.1 กิโลกรัม หรือผักเคล 0.5 กิโลกรัม) ซึ่งก็จะเพียงพอต่อการบำรุงผิวพรรณให้เรียบเนียนไร้ริ้วรอยแห่ง­­วัย 

 ถั่วฝัก 

          เพียงแค่กินถั่ววันละ 2 ช้อนโต๊ะเป็นประจำทุกวัน ร่างกายก็จะได้รับกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) ซึ่งเป็นอาวุธชั้นดีของกระบวนการชะลอริ้วรอยแห่งวัย แถมกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนมาบำรุงดูแลผิวมากขึ้น 

ผักผลไม้สีแดง

  ผักผลไม้สีแดง 

          ผักผลไม้สีแดงมีไลโคปีนสูง สรรพคุณเด่น ๆ ของเขาคือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีสุด ๆ อีกทั้งไลโคปีนยังทำหน้าที่คล้ายสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอริ้วรอยแห่งวัยและเติมเต็มความแข็งแรงของเซลล์ผิว โดยผักผลไม้สีแดงก็ได้แก่ มะเขือเทศ พริกหยวกแดง บีท แครอท สวีทโปเตโต เป็นต้น 

          นอกจากนี้ ดร. โรนัลโด วัตต์สัน ผู้ทำการวิจัยจากมหาวิทยาลัยอาริโซนา ยังเผยว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในผักผลไม้สีแดงและเหลืองทุกชนิด มีความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีได้ดีพอสมควร นับเป็นสรรพคุณช่วยชะลอความชราของผิวทางอ้อมอย่างหนึ่งเหมือนกั­­นนะคะ 

  วิตามินซี 

ไม่ว่าจะเป็นส้ม มะนาว ฝรั่ง หรือสตรอว์เบอร์รีก็ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินซี คุณประโยชน์ดี ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน อีกทั้งยังเสริมความแข็งแรงของเซลล์ผิวได้อีกด้วย 

  ลูกพรุน 

          ตัวการสุดจี๊ดที่คอยจ้องทำลายความเต่งตึงของผิวเรามีชื่อว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งสิ่งที่จะต่อกรกับอนุมูลอิสระได้ก็คือสารต้านอนุมูลอิสระนั­­่นเอง โดยลูกพรุนก็นับเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิระสูงมาก รองลงมาก็บลูเบอร์รี ฉะนั้นกินทั้งสองอย่างนี้อย่างน้อย 5-6 ลูกทุกวัน รับรองผิวพรรณใสเด้ง 

  กรดไขมันโอเมก้า 
          ต้องยกให้โอเมก้าเป็นแหล่งสร้างคอลลาเจนจากธรรมชาติตัวเด็ดอีกต­­ัวหนึ่ง ซึ่งช่วยเติมเต็มร่องลึกของเซลล์ผิวที่ถูกปัจจัยอื่น ๆ ทำลาย โดยเราจะรับกรดไขมันโอเมก้าได้จากเมล็ดแฟลกซ์ซีด แซลมอน ปลาทูน่า อะโวคาโด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และอัลมอนด์ เป็นต้น 

  แตงกวา มะกอกเขียว และมะกอกดำ 

          ผักผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้อุดมไปด้วยซัลเฟอร์ ส่วนสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอสูง รักษาระดับคอลลาเจนในผิวให้สูงขึ้นอีกทาง โดยหากกินแครอท และแคนตาลูปเพิ่มด้วยก็จะช่วยให้ร่างกายเสริมสร้างคอลลาเจนได้อ­­ย่างเต็มที่ 


  ดาร์กช็อกโกแลต 

          ผลงานวิจัยจากเยอรมนียืนยันแล้วว่า ดาร์กช็อกโกแลตไม่มีทางส่งผลร้ายต่อผิว ทั้งยังช่วยบำรุงดูแลผิวได้อย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่อัดแน่นอยู่ในดาร์ ช็อกโกแลตซึ่งเพียงพอต่อการเสริมสร้างคอลลาเจน และชะลอริ้วรอยแห่งวัยได้ชะงัด 


  ชาขาว 

          จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยคิงส์ตัน พบว่า ชาขาวไม่เพียงแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ หากยังเป็นแหล่งของโปรตีนชนิดเดียวกับโปรตีนที่ค้นพบในเซลล์ผิว­­ โดยเฉพาะคอลลาเจน ซึ่งก็ทำหน้าที่ต้านเอนไซม์ที่คอยทำลายผิวพรรณให้หย่อนคล้อยได้­­นั่นเอง 


  กระเทียม 

          กระเทียมก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่อุดมไปด้วยซัลเฟอร์ อีกทั้งยังมีกรดไลโปอิก (lipoic acid) และกรดอะมิโนทอรีน (Taurine) ตัวช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนที่ถูกทำลาย 


  หอยนางรม 

          อาหารที่เกือบกินเป็นกับแกล้มก็อร่อย หรือจะกินเล่นเปล่า ๆ ก็ดีอย่างหอยนางรมไม่ได้เป็นแค่ยาโด๊ปเท่านั้นหรอกนะ ทว่าหอยนางรมยังอุดมไปด้วยธาตุสังกะสี และกรดอะมิโนที่สำคัญต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจน พ่วงด้วยธาตุเหล็กและวิตามิน B2 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย 

  ไข่ขาว 

          ไข่ขาวเป็นแหล่งกรดอะมิโนโปรลีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นใยคอลลาเจน ดังนั้นการที่เราเสริมโปรตีนตัวนี้เข้าไปก็เท่ากับเสริมความแข็­­งแรงของแขนขาคอลลาเจนให้แข็งแกร่ง ยากที่จะมีอะไรมาทำลายได้นั่นเอง 

  เมล็ดข้าวสาลี 

          เมล็ดข้าวสาลีก็มีกรดอะมิโนโปรลีนสูงเช่นกัน ยืนยันด้วยผลการศึกษาจาก Nutritional Sciences มาแล้วด้วยนะคะว่าแค่กินเมล็ดข้าวสาลีเป็นประจำก็จะช่วยยืดอายุ­­คอลลาเจนในร่างกายให้ยาวนานกว่าเดิมได้ 


  สาหร่ายทะเลทุกชนิด 
          ส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเส้นใยคอลลาเจนอย่างไฮยาลูโรนิกเป็นเ­­หตุผลสำคัญที่ทำให้สาหร่ายทะเลทุกชนิดขึ้นชื่อว่าเป็นพืชที่มี­ค­อลลาเจนผสมอยู่ ดังนั้นอยากมีผิวผุดผ่องเต่งตึงต้องอย่าพลาดสาหร่ายทะเลเชียวล่­­ะ 

  เห็ดทุกชนิด 

          ในเห็ดแทบทุกชนิดอุดมไปด้วยโปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระจึงสามารถช่วยในกระบวนการเสริมสร้างคอลลา­­เจนให้ผิวได้ง่าย ๆ อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดเลือนริ้วรอยก่อนวัยได้อีกต­­่างหาก 


  มะพร้าว 

          ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ที่จะทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย คล้ายกับการทำดีท็อกซ์ จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส 

  กระดูกอ่อน 

          ทั้งกระดูกอ่อนหมูและกระดูกอ่อนของไก่ล้วนแล้วแต่มีคอลลาเจนปะป­­นอยู่กับโปรตีนด้วยกันทั้งนั้น โดยเราจะสามารถสังเกตเห็นคอลลาเจนเป็นตัวเป็นตนได้จากน้ำต้มกระ­­ดูกอ่อนที่ทิ้งไว้ให้เย็น และส่วนที่เป็นวุ้นลอยอยู่เหนือน้ำต้มกระดูกก็คือ คอลลาเจนนั่นเองค่ะ 

          ทั้งนี้หากเราควรกินวิตามิน C ไปพร้อม ๆ กับอาหารที่มีคอลลาเจนด้วยทุกครั้ง เพราะวิตามินซีจะช่วยให้การดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายเป็นไป­­อย่างง่ายและเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นนะคะ 

ที่มา : http://health.kapook.com/view118296.html

ขอขอบคุณข้อมูลจาก