ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ง่ายๆ ด้วย 10 วิธีการเผาผลาญแคลอรี่ สามารถลดความอ้วนได้จริง

ปัจจุบัน สาวๆ หนุ่มๆ เลิกงาน กันดึก ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลหรือใส่ใจตัวเอง เป็นส่วนใหญ่  แต่จะหาปลายเหตุมาดูแลแทน ไม่ว่าจะ กินคอลลาเจน,ยาลดความอ้วน,ทาครีมให้ขาว เป็นต้น 


เพราะ คิดว่าไม่ออกกำลังกาย แต่เลือกบำรุงจากภายนอกสู่ภายในนั้นก็ดีแล้ว  แต่เป็นวิธีที่ผิด   คนเราต้องบำรุงจากภายในสู่ภายนอกและวิธีเดียวที่ดีที่สุด คือ การออกกำลังกาย  แต่วันนี้ เรามีเคล็ด(ไม่)ลับมาบอก 10  วิธีในการเผาผลาญไขมันออกไปแบบง่ายๆ

วิธีที่  1  การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ


การยกดัมเบลล์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่ม เหมือนกัน และช่วงที่ระดับเมตาบอลิซึ่มคุณจะพุ่งสุดขีดนั่นเอง ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆ บนสายพานหรอกนะแต่หลังจากนั้นอีกสัก 2- 3 ชม.

วิธีที่ 2 ขยับตัว


ออกกำลังกายอย่างน้อย ออกเดิน 30 นาที หรือ 1 ชม. วิ่งเหยาะๆ หรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที

วิธีที่  3  กินบ่อย


ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อยลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย

วิธีที่  4  งดน้ำตาล


เหตุผลง่ายๆ ก็คือ น้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นไขมัน เพราะฉะนั้น ลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว

วิธีที่  5  กินอาหารเช้า 


การรรับประทานอาหารเช้า ดีต่อสุขภาพ ทั้งหุ่นดีกว่า คนงดอาหารเช้า เพราะ  คนที่อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับ เมตาบอลิซึ่ม ของคุณวันนั้นพุ่งเป็น 2 เท่าด้วย

วิธีที่  6  กินอาหารเผ็ดร้อน


อาหารประเภทเผ็ดร้อน รสจัด จะช่วยเร่งการเผาพลาญร่างกายของคุณจากภายในให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก  เหมือนเหงื่อยิ่งแตกยิ่งดี

วิธีที่  7  ดื่มชาเขียว




เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ แถมมีประโยชน์อีกด้วย

วิธี่ที่  8  ดื่มน้ำเยอะๆ



เราได้ยินกันมาบ่อยมาก กับการดื่มน้ำเยอะๆ  เพราะจะช่วยขับสารพิษ หลังจากที่ร่างกายเผลาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆ ยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มทำงานดีขึ้นนิดหนึ่งด้วย

วิธีที่  9  อย่าเครียด


ความเครียดจะทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอโมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราดูซึมของเมตาบอลิซึ่มช้าลง

วิธีที่  10  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

 

ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเรา จะทำงานเผาผลาญแคลอรี่ ได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิทเต็มที่

เป็นไงบ้างค่ะ ไม่อยากอย่างที่คิดเลย เราสามารถออกำลังกายอยู่ห้องก็ได้ หรือ การรับประทานอาหารที่มีต่อสุขภาพ  ลองไปทำกันดูนะคะ รับรองเห็นผลแน่นอนคะ 

ที่มา : http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20140331111127450 
- See more at: http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=2886&read=true&count=true#sthash.Q16MeTdA.BLpnl3k1.dpuf

ลงทุนในสุขภาพ

 ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนมานานมาก น่าจะประมาณ 20 ปีมาแล้ว เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องของเงินทอง แต่ว่าที่จริงมีเรื่องอื่นๆ อีกไม่น้อย




ที่การลงทุนสำคัญไม่แพ้เรื่องของเงินทอง หนึ่งในนั้นคือการลงทุนกับ สุขภาพนี่คือการลงทุนในเรื่องของการ ใช้ร่างกายและจิตใจในวันนี้อย่าง ถนอมรักษาเพื่อจะได้สามารถใช้ได้มากขึ้นและหรือดีขึ้นในวันข้างหน้า เมื่อร่างกายของเราเข้าสู่โหมดเสื่อมโทรมตามอายุของเรา
การลงทุนในสุขภาพนั้นอาจจะคล้ายกับการลงทุนในเงินทอง ในแง่ที่ว่าในยามที่ยังเป็นหนุ่มสาวมักจะไม่ใคร่สนใจที่จะทำนัก เนื่องจากความจำเป็นยังมีน้อยนั่นคือในยามที่เป็นหนุ่มสาว เรามักจะยังมีสุขภาพที่ดีหรือมีเงินใช้เพียงพอจากการทำงาน เราไม่เห็นความจำเป็นมากนักที่จะต้องดูแลสุขภาพหรือต้องเก็บเงินเพื่อลงทุน เราอยากจะใช้ให้"เต็มที่กับชีวิต"สำหรับวันนี้มากกว่าที่จะเลื่อนออกไปในวันข้างหน้า
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะตายก่อนหรือถึงวันนั้นการมีเงินใช้มากก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราไม่มีแรงจะใช้ ทั้งหมดนั้นมักเป็นความคิดของคนที่ยังไม่เคยแก่ ยังไม่รู้สึกถึงคุณประโยชน์ของการมีเงินหรือมีสุขภาพที่ดีในวันที่ตนเองแก่ตัวลง แต่สำหรับผมซึ่งผ่านชีวิตทั้งสองแบบมาแล้ว คิดว่าคนเราต้อง ลงทุนในทั้งสองเรื่องอย่างจริงจังตั้งแต่อายุยังน้อย การลงทุนจะช่วยเพิ่ม ผลประโยชน์รวมหรือ ความสุขโดยรวมในชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ
พูดง่ายๆ ถ้าลงทุนอย่างพอเหมาะทั้งในเรื่องของการเงินและสุขภาพตั้งแต่ยังเด็ก โอกาสที่จะมีความสุขในชีวิตตลอดชั่วอายุขัยจะสูงขึ้นมาก การลงทุนในสุขภาพนั้นไม่เหมือนเงินทองในแง่ที่ ถ้าเรา ไม่ใช้ร่างกายหรือใช้น้อย แบบนี้ไม่ใช่การลงทุน ในทางตรงกันข้าม การ ใช้ร่างกายมากเกินไป ก็ไม่ใช่การลงทุนเหมือนกัน
การลงทุนในสุขภาพนั้น คิดว่าเป็นเรื่องต้องทำให้พอเหมาะในแต่ละเรื่อง และจะต้องรู้จริงและเข้าใจร่างกายและการทำงานของมัน โดยหลักการคือ จะต้องดูแลรักษาให้ทุกส่วนของร่างกายทำงานได้เต็มหรือเกือบเต็มประสิทธิภาพ แต่ไม่เกินกำลังในแต่ละช่วงเวลา และคำว่าทุกส่วนนั้นรวมถึงที่อยู่ภายในที่มองไม่เห็นเช่นตับไตไส้พุงและสมองด้วย และนี่ทำให้การลงทุนในร่างกายหรือสุขภาพเป็นเรื่องยากพอสมควร และต้องศึกษาทำความเข้าใจคล้ายกับการลงทุนเหมือนกัน
หัวใจของการรักษาและดูแลสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการ ลงทุนที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง คือการออกกำลังที่พอเหมาะตลอดช่วงอายุของเรา การออกกำลังกายนั้นช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยเรารักษาโครงของร่างกายเราในยามที่เราแก่ตัวลง
การออกกำลังสม่ำเสมอยังช่วยในเรื่องของหัวใจและระบบต่างๆ ในร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้แก่ช้าลง รวมถึงสมองที่สำคัญอย่างยิ่งด้วย ประเด็นสำคัญที่ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่คือการออกกำลังมากเกินปกติเช่น นักกีฬาหรือคนที่เล่นกล้ามเพาะกายนั้น เป็นการลงทุนหรือการใช้ร่างกายกันแน่ หรือพูดง่ายๆคุ้มไหมที่จะทำอย่างนั้น?
เพื่อนผมคนหนึ่งที่ชอบวิ่งจ็อกกิ้งมากจนน่าจะเรียกได้ว่า ติดเขาวิ่งแทบทุกวันวันละเป็นสิบ ๆ ก.ม. ดูจากภายนอกเขาจะผอมเกร็งไม่มีไขมันเลย ร่างกายดูแข็งแรงยิ่งกว่าหนุ่มวัยรุ่นทั้ง ๆ ที่อายุน่าจะ 40 ปีแล้ว ต่อมาเมื่อพบเขาอีกครั้งหนึ่งเขาบอกว่าเขาเป็นมะเร็ง เหตุผลเขาบอกว่าอาจจะเกิดจากการที่เขาใช้พลังมากเกินไป และกินเนื้อสัตว์มากเพื่อชดเชยเสริมสร้างกล้ามเนื้อซึ่งก่อให้เกิดมะเร็ง นั่นเป็นการบอกเป็นนัยว่า เขาใช้ร่างกายเกินไป
อาหารน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อสุขภาพไม่น้อย การลงทุนในเรื่องนี้ ไม่ใช่การกินแต่อาหารคุณภาพสูงราคาแพงอย่างเนื้อสัตว์หรืออาหารอร่อย ที่มักมีไขมันหรือความหวานสูง ตรงกันข้าม การลงทุนเรื่องนี้หมายความว่าจะต้องอดหรือหักห้ามจิตใจ ที่อยากจะกินอาหารดังกล่าวให้อยู่ในระดับเหมาะสม ประเด็นหลักคือการควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสมไม่อ้วน
เพราะน้ำหนักตัวที่เกินกว่าปกติ มักเป็นสาเหตุของโรคและความไม่สบายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในตอนที่เราแก่ตัวลง เช่น โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน ความดันและอื่น ๆ ซึ่งโรคเหล่านี้มักจะ เรื้อรังและทำให้คุณภาพชีวิตลดลงไปมาก
นอกจากอาหารตามปกติแล้ว การลงทุนในสุขภาพอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการการควบคุมจิตใจตัวเองสำหรับบางคนคือ การบริโภค สารพิษหรือสิ่งที่จะทำลายอวัยวะบางอย่างของร่างกาย เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้บ่อยๆ การสูบบุหรี่หรือยาเสพติดอื่น ๆ ในระยะยาวแล้วคิดว่าร่างกายจะ ฟ้องการทำงานของตับหรือปอด อาจแย่ลงมากหรือบางคนอาจร้ายแรงถึงขนาดตับแข็งหรือเป็นมะเร็งปอดหรือตับได้
เมื่อเร็วๆ นี้ ความคิดเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพได้พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง คือการเกิดขึ้นของ “Anti Aging” หรือการ ชะลอวัยในวงการแพทย์ นี่คือการใช้ศาสตร์ทางการแพทย์และสุขภาพหลาย ๆ ด้านมาแนะนำหรือมาดูแลรักษา
ผู้สูงวัยไม่ให้ แก่ตัวเร็วหรือมีปัญหาทางสุขภาพเนื่องจากความเสื่อมโทรมของร่างกายมากเกินไป หมอบางคนก็คิดถึงขนาด ลดวัยให้กับคนไข้ที่มารับการรักษา
กระบวนการหรือวิธีของหมอที่ทำเรื่องชะลอวัยนั้น นอกจากเรื่องออกกำลังและการกินอาหารซึ่งรวมถึงวิตามินแล้ว ยังรวมถึงการปรับปริมาณฮอร์โมนร่างกายด้วย เพราะปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย มีส่วนสำคัญมากต่อระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ฮอร์โมนเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นหนุ่มสาวหรือจะแก่กันเลยทีเดียว แต่การทำเรื่องต่างๆ เหล่านี้มีต้นทุนสูง ทั้งเรื่องตรวจวิเคราะห์ ยาหรืออาหารเสริม และที่สำคัญค่าที่ปรึกษาแนะนำของแพทย์และบุคลากรด้านต่าง ๆ และนี่คือการลงทุนในสุขภาพที่เป็นเม็ดเงินจริง
สำหรับคนที่เชื่อหรือสนใจที่จะลอง เรื่อง Anti Aging นี้ ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะคุ้มไหมสำหรับคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่อายุมากและมีเงินมากแล้ว ดูเหมือนว่าจะคุ้มที่จะลงทุนจ่ายเงิน และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำต่างก็เสนอบริการนี้
สุดท้าย การลงทุนเรื่องสุขภาพไม่ได้ต่างจากการลงทุนเรื่องการเงิน ในแง่ที่ว่า ผลลัพธ์ปลายทางนั่นคือความมั่งคั่งหรือสุขภาพที่ดีโดยรวมของแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอย่างน้อย 3 ประการนั่นก็คือ หนึ่ง ต้นทุนเดิมของแต่ละคนที่มีอยู่ คนที่มี ยีนส์ดี ย่อมได้เปรียบคนที่มีกรรมพันธุ์ที่ไม่แข็งแรงซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับ ดวงของแต่ละคน สอง การดูแลรักษาสุขภาพที่ดีและถูกต้องตามหลักวิชาซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่สูงต่อสุขภาพ และสุดท้ายก็คือ ระยะเวลาของการปฏิบัติตามแนวทางนั้นอย่างมีวินัยสูง ถ้าทำได้เช่นนี้ เราก็จะมีสุขภาพที่ดีโดยรวมตลอดอายุขัย และนี่ก็คือการลงทุนในชีวิตที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งไม่แพ้การลงทุนในเรื่องของเงินทอง
ที่มา :  http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20140610/587315/ลงทุนในสุขภาพ.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

7 อาหารลดน้ำหนัก ที่ยิ่งกินยิ่งอ้วน

ากผลสำรวจของนิตยสาร Men's Health คนเราจะกินน้ำตาลที่ปนอยู่ในอาหาร เฉลี่ยประมาณ 82 กรัมต่อวัน ตัวเลขนี้มากกว่าการกินไอศครีมแซนวิชโอริโอ ชิ้นเสียอีก!
                  สิ่งที่น่าตกใจก็คือ เจ้าน้ำตาล 82 กรัมนี้ ไม่ได้มาจากไอศครีมที่พูดถึง หรือของหวานอื่นๆ ที่พวกเราชอบกิน แม้เราจะงดของหวาน เค้ก น้ำอัดลมแล้วก็ตาม น้ำตาลจำนวนมากนี้ก็ยังเล็ดรอดเข้าสู่ร่างกายของเราและทำให้อ้วนได้อยู่ดี
                  ยังไงนะเหรอ...มันแอบอยู่ในอาหารที่พวกเราคิดว่าไม่ทำให้อ้วนไง!
                  ลองเปิดตู้เย็นดู หยิบขนมหรืออาหารที่เราทานตอนลดน้ำหนักมาสักชิ้นสองชิ้น แล้วตรวจดูฉลากด้านหลัง พนันได้เลยว่า อาหารที่น้องๆ หยิบมาดู จะต้องมีน้ำตาลจำพวกนี้ผสมอยู่แน่นอน
                  modified food starch (แป้งดัดแปลง), maltodex-trin (แป้งจากธัญพืช), cane sugar (น้ำตาล), crystallized cane juice (น้ำตาลผลึก), evaporated cane juice (น้ำตาลทราย), honey (น้ำผึ้ง), tapioca syrup (น้ำเชื่อม), brown sugar (น้ำตาลทราย), brown rice syrup (น้ำเชื่อมอีกประเภทนึง), barley (ข้าวบาเลย์)หรือส่วนผสมอื่นๆ ที่มีชื่อลงท้ายด้วยคำว่า "ose". (บอกก่อนว่าย่อหน้านี้แปลยากมากๆ เพราะเป็นส่วนผสมที่ชีวิตนี้พี่อิงไม่เคยคิดว่าจะได้แตะต้อง ทำอาหารไม่เป็นนั่นเอง เอาคร่าวๆ ไปเนอะ ว่าแต่ละอย่างที่พูดถึงคือน้ำตาล น้ำเชื่อมต่างๆ)
                  ที่เลวร้ายคือ บริษัทผู้ผลิตอาหารเหล่านี้ ภูมิใจอย่างยิ่งที่จะใช้คำว่า "ไม่อ้วน" หรือ "ไร้แคลอรี่หรือ "อาหารสำหรับควบคุมน้ำหนัก" ในการโฆษณา สงสัยกันแล้วสิว่า อาหารที่มีส่วนผสมเหล่านี้มีอะไรบ้าง มีทั้งหมด อย่าง จะพาไปรู้จักทีละอย่างนะคะ จะได้ไม่หลงกล กินเพื่อลดน้ำหนัก แต่กลับยิ่งกินยิ่งอ้วน 
1. ซีเรียล
                  ซีเรียลที่ไม่มีตัวการ์ตูนอยู่บนหน้ากล่อง ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่อ้วนนะ พวกซีเรียลที่หน้ากล่องอ้างว่า 0% แคลอรี มีรูปหัวใจแข็งแรงแปะไว้เด่นๆ หรือมีตราเหรียญทองรับรองสุขภาพอะไรเทือกๆ นั้น ก็ไม่ได้ทำให้มันกลายเป็นอาหารลดน้ำหนักแต่อย่างใด เพราะใน ถ้วยที่เรากิน บางยี่ห้อมีน้ำตาลเยอะกว่าพวกซีเรียลที่หน้ากล่องเป็นการ์ตูน แล้วมีหลากสีเสียอีก
                  ทางเลือกที่ดีคือ เลือกซีเรียลที่เน้นไฟเบอร์เยอะๆ และมีสัดส่วนเยอะกว่าน้ำตาล (ลองเปรียบเทียบกับหลายๆ ยี่ห้อ) เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น 

               ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                  ซีเรียลปริมาณ ถ้วย ให้...
                  170 calories (แคลอรี่)
                  1 g - fat (ไขมัน)
                  0 g - sugars (น้ำตาล)
                  6 g - fiber (ไฟเบอร์)
               ตัวอย่างที่ไม่ดี                 
                  ซีเรียลปริมาณ ถ้วย ให้...
                  190 calories (แคลอรี่)
                  0.5 g - fat (ไขมัน)
                  14 g - sugars (น้ำตาล)
                  3 g - fiber (ไฟเบอร์)
                สังเกตได้ว่า ในตัวอย่างซีเรียลที่ไม่ดี ปริมาณน้ำตาลเยอะมากถึง 14 กรัม ขณะที่ไฟเบอร์มีแค่ กรัม
2. ซีเรียลธัญพืช
                  คนเรามักจะเชื่อสนิทใจว่าอาหารหรือขนมที่จะซื้อนั้นไม่อ้วน ถ้าได้รับการรับรองจากกลุ่มหรือองค์กรสุขภาพอะไรสักอย่าง (ประเภทมีตรา fitness ที่เราไม่เข้าใจ แปลไม่ออก แปะไว้หน้ากล่อง)
                  ขอบอกว่า เจ้าพวกนี้แหละ ที่ควรจะสงสัยเอาไว้ก่อนเลย โดยเฉพาะเวลาจะซื้อซีเรียลธัญพืช เชื่อไหมว่า ซีเรียลธัญพืชที่วางขายเกือบทั้งหมด ถ้ากินไป ชาม เราจะได้ปริมาณน้ำตาล เกือบจะเท่าคุ้กกี้ ถาด!!!
                              ทางเลือกที่ดีคือ ควรจะอ่านฉลากปริมาณส่วนผสมบ้าง...

                  ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                  ซีเรียลธัญพืช ถ้วย ให้...
                  200 calories (แคลอรี่)
                  3.5 g - fat (0 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  10 g - sugars (น้ำตาล)
                  7 g - fiber (ไฟเบอร์)
                  ตัวอย่างที่ไม่ดี
                  ซีเรียลธัญพืช ถ้วย ให้...
                  420 calories (แคลอรี่)
                  12 g - fat (7 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  30 g - sugars (น้ำตาล)
                  6 g - fiber(ไฟเบอร์)
                  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า น้ำตาลเยอะขนาดนี้ พวกธัญพืชซีเรียลทั้งหลาย ยังพยายามทำให้คนเชื่อว่าเป็นอาหารลดน้ำหนัก นี่มันอ้วนพอๆ กับกินช็อกโกแลตแท่งเลยนะ
3. ขนมปังวีต (Wheat Bread)
                  เพราะคนเราชินกับขนมปังแผ่นขาวๆ นุ่มๆ มากกว่า จึงไม่แปลกที่หลายคนจะกินขนมปังวีต หรือโฮลวีตแทบไม่ได้ เนื่องด้วยความแข็งและรสชาติอย่างกับกินดิน แต่ยังไงก็ต้องกล้ำกลืนกินเข้าไป เพราะรับรู้มาว่ามันดีต่อสุขภาพและไม่อ้วน
                  ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทผู้ผลิตขนมปังโฮลวีตทั้งหลาย ที่กลัวจะเสียลูกค้าไป จึงจงใจผสมน้ำตาลลงไป เพื่อกลบรสชาติแปลกเฝื่อนของมัน และทำให้คล้ายกับขนมปังขาวๆ นุ่มๆ พวกนั้น แน่นอน...ผลก็คือ มันก็อ้วนพอๆ กับขนมปังขาวนั่นแหละ
            ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                 ขนมปัง แผ่น ให้...
                 160 calories (แคลอรี่)
                  1 g - fat (ไขมัน)
                  0 g - sugars (น้ำตาล)
                  6 g - fiber (ไฟเบอร์) 
               ตัวอย่างที่ไม่ดี
                  ขนมปัง แผ่น ให้...
                  240 calories (แคลอรี่)
                  3 g fat (1 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  10 g sugars (น้ำตาล)
                  6 g fiber (ไฟเบอร์)
                  น้ำตาล 10 กรัมในขนมปังแค่สองแผ่น เชื่อไหมว่ามีน้ำตาลมากกว่าช็อกโกแลตแท่งบางยี่ห้อเสียอีก
4. แครกเกอร์
                  ขนมปังอบแห้งแข็งๆ แผ่นเล็กที่มักจะไม่มีรส หรือมีรสเค็ม รู้ไหมว่ามันก็มีน้ำตาลผสมอยู่ด้วย จริงๆ แล้วน้ำตาลที่ใส่เข้าไปนั้นไม่ได้มีจำนวนมากเท่าไหร่ แต่ปัญหามันเกิดก็ตรงที่น้ำตาลมาเจอกับแป้งล้วนๆ นี่แหละ
                  แครกเกอร์ผลิตจากแป้งล้วนๆ เมื่อกินเข้าไปแล้ว มันจะกลายเป็นแป้งชนิดย่อยเร็ว บวกกับน้ำตาลที่ผสมอยู่ด้วย ทำให้ตับอ่อนของเราต้องทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่า เพื่อปล่อยอินซูลินจำนวนมากออกมารักษาระดับน้ำตาลในเลือด
                  ในร่างกายปกติ มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าร่างกายใครไม่ปกติ โดยเฉพาะมีปัญหาเรื่องตับ หรือเป็นเบาหวาน รับรองว่าเกิดปัญหาใหญ่แน่ ทางแก้ถ้าอยากกินมากๆ ก็คือ ควรหาแครกเกอร์แบบไร้น้ำตาลมากินแทน ซึ่งก็ต้องอ่านฉลากส่วนผสมให้ดีๆ

             
                ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                  แครกเกอร์ 15 ชิ้น ให้...
                  130 calories (แคลอรี่)
                  5 g - fat (1 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  0 g - sugars (น้ำตาล)
                  3 g - fiber (ไฟเบอร์)
                  แครกเกอร์ที่ดีควรจะมีแค่แป้งโฮลวีตผสมกับน้ำมันและเกลือเล็กน้อย
                 ตัวอย่างที่ไม่ดี                 
                  แครกเกอร์ 15 ชิ้น ให้...
                  130 calories (แคลอรี่)
                  4 g - fat (0.5 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  3.5 g - sugars (น้ำตาล)
                  1 g - fiber (ไฟเบอร์)
                  มีทั้งน้ำตาลและไขมันที่เป็นอันตรายด้วย ทานเข้าไปทั้งสุขภาพไม่ดี และอ้วนอีกต่างหาก   
5. อาหารเสริมแบบแท่ง
                  ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้คนใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น จึงไม่แปลกที่อาหารเสริม (ซึ่งทุกคนเข้าใจไปเองว่าอุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ และสารอาหารอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากขึ้น
                  ซึ่งมันก็จริงนะ เจ้าแท่งอาหารเสริมพวกนี้มีโปรตีน ไฟเบอร์ สูงอย่างที่ผู้ผลิตอ้าง แต่ข่าวร้ายที่พี่อิงจะขอเสริมก็คือ น้ำตาลมันก็สูงมากด้วย!
                  แล้วผู้ผลิตแก้ปัญหานี้ยังไงเขาก็ซ่อนเจ้าน้ำตาลตัวร้ายไว้ภายใต้ชื่อหรูหราดูดีมีประโยชน์ เช่น crystalline fructose (ผลึกฟรุกโตส), brown rice syrup (น้ำเชื่อมข้าวแดง)
                  สิ่งเดียวที่ผู้บริโภคทำได้ก็คือ พยายามเลือกกินอาหารเสริมแบบแท่งที่มีโปรตีน ไฟเบอร์ รวมถึงไขมันที่มีประโยชน์ และมีน้ำตาลผสมอยู่น้อยที่สุด 

            ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                  อาหารเสริมแบบแท่ง แท่ง ให้...
                  220 calories (แคลอรี่)
                  11 g - fat (1 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  8 g - sugars (น้ำตาล)
                  6 g - fiber (ไฟเบอร์)
                  7 g - protein (โปรตีน)
                  จากตัวอย่าง อาหารเสริมแบบแท่งยี่ห้อนี้มีสารอาหารสำคัญครบถ้วนในปริมาณที่สูง ซึ่งได้แก่ โปรตีน ไฟเบอร์ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ
               ตัวอย่างที่ไม่ดี
                  อาหารเสริมแบบแท่ง แท่ง ให้...
                  220 calories (แคลอรี่)
                  3.5 g fat (0.5 g saturated) (ไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว)
                  30 g sugars (น้ำตาล)
                  <1 g fiber (ไฟเบอร์)
                  6 g protein (โปรตีน)
                  ตัวอย่างนี้แทบจะไม่มีไฟเบอร์เลย และมีน้ำตาลผสมอยู่เยอะกว่ามาก ปริมาณน้ำตาลนี้พอๆ กับไอศครีม ลูกเลยทีเดียวใครเคยกินเจ้าพวกนี้แทนอาหารเช้าเพื่อลดความอ้วน สยองกันไหมเอ่ย! 
6. โยเกิร์ต
                  มีเรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนยังไม่เคยรู้ นมวัวเป็นผลผลิตจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียวที่มีรสหวานโดยธรรมชาติ ทำให้หลายๆ คนที่กำลังลดความอ้วนไม่ยอมดื่มนม แต่ไม่ยักจะหยุดกินโยเกิร์ต แถมยังชอบสุดๆ เวลาได้สัมผัสกับรสหวานนุ่มเย็นๆ ใจก็คิดไปว่ากินโยเกิร์ตไม่อ้วนๆ
                  เรื่องจริงก็คือ ถ้าเราไม่อ่านฉลากส่วนผสม เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าโยเกิร์ตที่บอกว่าจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่เสริมแต่งเนี่ย มันธรรมชาติจริงไหม ซึ่งส่วนใหญ่ที่วางอยู่บนเชลฟ์มักจะผสมโน่นนี่มาแล้วแหละ เพื่อให้รสชาติอร่อยถูกปากผู้บริโภคมากขึ้น
                  ดังนั้นก่อนซื้อ ควรอ่านฉลากให้ดีๆ จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยคำโฆษณา 
             ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                  โยเกิร์ต ถ้วย ให้สารอาหาร...
                  80 calories (แคลอรี่)
                  0 g - fat (ไขมัน)
                  6 g - sugars (น้ำตาล)
                  15 g - protein (โปรตีน)
                  ส่วนใหญ่โยเกิร์ตแบบเพียวๆ มักมีรสชาติไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่ แนะนำให้ใส่ผลไม้ที่มีรสหวานลงไปแทน จะดีกว่าไปซื้อโยเกิร์ตรสโน่นนี่ซึ่งหวานโดยการปรุงแต่ง
                ตัวอย่างที่ไม่ดี
                  โยเกิร์ต ถ้วย ให้สารอาหาร...
                  170 - calories (แคลอรี่)
                  1.5 g - fat (1 g saturated) (ไขมันไม่อิ่มตัว และไขมันอิ่มตัว)
                  27 g - sugars (น้ำตาล)
                  4 g - protein (โปรตีน)
                  ผู้ผลิตมักจะดึงดูดความสนใจของคนซื้ออย่างเราๆ ด้วยคำว่า "99% Fat Free" หรือ"ไขมันต่ำ" หรือ "ไขมัน 0%" บนฉลาก พอเห็นแบบนี้เราก็เบาใจ ไม่อ่านลิสส่วนผสม ซึ่งจริงๆ แล้วมันซ่อนไขมันอันตรายและน้ำตาลเอาไว้สูงมาก มากพอๆ กับกินขนมปังหวานๆ ก้อนนึงเลยทีเดียว 
7. เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
                  น้อยคนจะคิดถึงอันตรายจากน้ำตาลปริมาณมากที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มพวกนี้ ผู้ผลิตมักโฆษณาว่าเครื่องดื่มของเขาดีต่อสุขภาพอย่างโน้นอย่างนี้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำจากธรรมชาติ เพิ่มพลังงาน คลายเครียด เต็มไปหมด แต่อย่างเดียวที่ผู้ผลิตไม่ยอมบอกก็คือ น้ำตาลที่ผสมอยู่ในแต่ละขวดสูงเกินมาตรฐานไปแค่ไหน
                  ทุกคนอาจแอบเถียงว่า ตอนดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที หรือร่างกายดีขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ให้รู้ไว้เถอะว่า ร่างกายก็ต้องทำงานหนักมากเพื่อรับมือกับปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มสูงอย่างผิดปกติหลังจากดื่มเข้าไปแล้ว
                  ขออธิบายง่ายๆ อีกรอบ และขอย้ำแรงๆ ว่า เครื่องดื่มหวานๆ พวกนี้ ไม่สามารถให้ประโยชน์ได้เทียบเท่าอาหารจริงๆ แน่นอน มันไม่มีไฟเบอร์ ไม่มีโปรตีน ไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำตาลที่ทำอันตรายกับร่างกายและอ้วน
                  แล้วอะไรมีประโยชน์ละ?...น้ำเปล่า กับน้ำชา (ชงเองไง ที่สุดแล้ว 
               ตัวอย่างที่ดี ควรมีสารอาหารดังนี้
                  เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ขวด ให้...
                  0 calories (แคลอรี่)
                  0 g - fat (ไขมัน)
                  0 g - sugars (น้ำตาล)
                  ถ้าคิดว่าชาเขียวชงกับน้ำร้อนที่บ้าน มีประโยชน์ไม่เท่าแบบแพคใส่ขวดขายในซูเปอร์ละก็...คุณคิดผิดแถมแบบชงเองทั้งถูกและดีต่อสุขภาพมากกว่าอีกด้วย เพราะเราสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลเองได้
                ตัวอย่างที่ไม่ดี
                  เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ขวด ให้...
                  150 calories (แคลอรี่)
                  0 g - fat (ไขมัน)
                  30 g - sugars (น้ำตาล)
                  กฎใหม่สำหรับการเลือกซื้อเครื่องดื่มอ่านฉลากส่วนผสมก่อนจะอ่านพวกคำโฆษณาบนหน้าขวด ถ้ำทำแบบนี้ก่อน รับรองเลยว่าจะเจอหลายยี่ห้อเลยที่จริงๆ แล้วก็แค่น้ำเปล่าผสมน้ำตาล แล้วที่อ้างๆ ว่ามีแอนตี้ออกซิเดนท์บ้าง ให้ไฟเบอร์บ้าง หรือโน่นนี่ จริงๆ แล้วก็แค่หลอกลวง
                      อ่านบทความนี้แล้ว ก่อนซื้ออาหารคราวต่อไป อย่าลืมดูฉลากสารอาหารด้านหลังด้วยนะ เอาคร่าวๆ ก็พอ ว่าน้ำตาลสูงไหม มีไขมันที่เป็นอันตรายไหม ถ้าน้ำตาลสูงมากก็อย่าไปกินเลย กินผลไม้มีประโยชน์กว่า อย่าลืมเทียบกับตัวอย่างที่ดีกับไม่ดี
ที่มา :  http://www.dek-d.com/lifestyle/24281/