ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อาหารบำบัดโรค เมนูวันนี้ คัดสรรที่คุณค่าด้วยโภชนาการที่เหมาะสม

Kuu Ne ได้รับการสนับสนุนจาก รพ.ราชวิถี โดยคุณลาวัลย์ หัวหน้าฝ่ายโภชนาการ เป็น รพ.นำร่อง ต้นแบบ อาหารสุขภาพ ผลิตอาหารให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์บริโภค ตามวิสัยทัศน์ อาหารดีมีคุณภาพ วิชาการเป็นเลิศ เกิดสุขในองค์กร ได้จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้กับโภชนาการประจำโรงพยาบาลทั่วประเทศ ได้เพิ่มพูนความรู้ ทักษะ สู่ภาคปฏิบัติจริง โดยมีผลิตภัณฑ์ คูเน่ ผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ โซเดียมต่ำปลอดสารเคมีธรรมชาติ100% เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารด้วย  ขอขอบพระคุณทุกท่านมาก ณ โอกาสนี้

 

โภชนากรโรงพยาบาล สามารถสั่งซื้อ Kuu Ne / Kuu Chef ได้นะ อยู่ในทะเบียนบัญชีรายชื่อวัตถุดิบในการประกอบอาหารของ กรมการแพทย์ และสำนักการแพทย์แล้ว
ติดต่อได้ที่ คุณคมชาญ เอกเตชวุฒิ 0867917007 บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด 
www.ptpfoods.com
www.facebook.com/kuunepage
Line id : OatEcho


Kuu Ne / Kuu Chef  ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก ภัตราคาร ร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร
ซึ่ง The Mall Group ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ Gourmet Market - Home Fresh Mart
ในการปรุงอาหารสุขภาพ ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกสุขภาพดี ด้วยแนวคิด 
ลูกค้าคุณ ลูกค้าเรา สร้างคุณค่าร่วมกัน ไปด้วยกัน  ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้







Kuu Ne / Kuu Chef  นวัตกรรมผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพโซเดียมต่ำปลอดสารเคมี ไม่มีเนื้อสัตว์
กุ๊ก เชฟ ภัตราคาร ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม โรงเรียน สำนักปฏิบัติธรรม สำนักสงฆ์ อุตสาหกรรมอาหาร สามารถสั่งซื้อ Kuu Ne / Kuu Chef ได้แล้วผ่านการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์อาหาร จากสถาบันอาหาร
ภายใต้มาตรฐาน GMP  ได้รับเครื่องหมายรับรอง อย. และ ฮาลาล

ติดต่อได้ที่ คุณคมชาญ เอกเตชวุฒิ 0867917007 บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด 
www.ptpfoods.com
www.facebook.com/kuunepage
Line id : OatEcho
Line : @WFK7799W

ควรใส่ชุดใหม่ที่ซื้อมาทันที หรือควรจะซักก่อน? แพทย์โรคผิวหนังมีคำตอบ

รายงานจาก Wall Street Journal ระบุ 3 เหตุผลที่ควรซักชุดใหม่ก่อนใส่เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อผิวหนัง

Woman looking through clothes in shopping mall

ดร. Donald Belsito แพทย์ด้านผิวหนังที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Columbia อธิบายว่าทำไมเราจึงควรซักผ้าที่ซื้อมาใหม่ก่อนที่จะนำมาสวมใส่ ด้วยเหตุผลหลัก 3 ข้อด้วยกัน
ข้อแรกคือ 'สารเคมี' หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆหมาดๆนั้น อาจเดินทางผ่านมาแล้วหลายประเทศ คืออาจจะทอขึ้นในประเทศหนึ่ง ย้อมในอีกประเทศหนึ่ง แล้วนำไปเย็บในอีกประเทศหนึ่ง ก่อนที่จะนำส่งขายทั่วโลก ซึ่งแต่ละประเทศนั้นก็มีกฏหมายเรื่องการใช้สารเคมีในการผลิตเสื้อผ้าแตกต่างกันไป ทั้งสีย้อมผ้า ยาฆ่าเชื้อและยากำจัดกลิ่นประเภทฟอร์มาลดีไฮน์ 
สารเคมีที่ตกค้างอยู่ในเสื้อผ้าและอาจทำให้เกิดอาการแพ้ตามผิวหนัง ทำให้คัันหรือเป็นผื่นแดงตามผิวส่วนที่สัมผัสกับเนื้อผ้า รายงานของรัฐบาลสหรัฐฯชี้ว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่วางขายในอเมริกา มีระดับสารฟอร์มาลดีไฮน์สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้มาก
ดร.Belsio บอกว่าสารเคมีในสีย้อมผ้านั้นส่วนใหญ่ไม่สามารถชำระออกได้จากการซักเพียงครั้งเดียว ดังนั้นคนที่แพ้ง่ายจึงควรซักเสื้อผ้าใหม่หลายครั้งก่อนนำมาใส่
ข้อที่สองคือ 'เชื้อโรคและแมลงที่ไม่ได้รับเชิญ' ดร.Belsio บอกว่าเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ อาจผ่านมือคนมากมาย ผ่านการลองสวมมาแล้วหลายครั้ง ทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีเชื้อโรคปะปนในชุดมากมายแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีหลายกรณีที่มีผู้ติดเหาจากการลองชุดในรา้นเสื้อผ้ามาแล้ว
ข้อที่สามคือ 'ความอับชื้นและเชื้อรา' เนื่องจากประเทศผู้ผลิตเสื้อผ้าส่วนใหญ่อยู่ในเขตร้อนชื้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความชื้นปะปนใเสื้อผ้าที่บรรจุในลังหรือกล่องซึ่งเตรียวส่งออกไปประเทศต่างๆ นั่นเป็นที่มาของเชื้อราในเสื้อผ้า และถึงแม้โรงงานผู้ผลิตได้ใส่สารดูดความชื้นไปกับลังเสื้อผ้า ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเชื้อราจะหายไป
ที่สำคัญสารดูดความชื้นบางชนิดคือตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ตามผิวหนังอย่างรุนแรง
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือต้องซักเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่ทุกชิ้นทุกตัวก่อนสวมใส่ เพื่อล้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกไป
รายงานจาก Wall Street Journal / เรียบเรียงโดย ทรงพจน์ สุภาผล 
ที่มา : http://www.voathai.com/content/new-clothes-washing/2779020.html

งานวิจัยชี้บนเครื่องบินคือแหล่งสะสมเชื้อโรคมากมายหลายชนิด พร้อมแนะวิธีป้องกัน

รายงานชี้ว่ากระเป๋าเดินทางแต่ละใบสามารถสัมผัสกับแบคทีเรียได้มากถึง 80 ล้านตัวก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางใครเดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยๆ แล้วพบว่าตนเองมักป่วยเป็นหวัด คดจมูก น้ำมูกไหล นั่นอาจไม่ใช่เพราะอากาศที่เปลี่ยนไปในแต่ละประเทศ แต่อาจเกิดจากเชื้อโรคที่ปะปนในเครื่องบินที่โดยสารไป


รายงานของบริษัท Aquaint ผู้ผลิตแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ระบุว่ายานพาหานะขนส่งมวลชนคือแหล่งรวบรวมเชื้อโรคมากมายหลายชนิด รวมทั้งตามเครื่องบินและสนามบินต่างๆ โดยแหล่งที่มาของแบคทีเรียหรือเชื้อโรคคือกระเป๋าเดินทาง
รายงานชี้ว่า กระเป๋าเดินทางแต่ละใบสามารถสัมผัสกับแบคทีเรียได้มากถึง 80 ล้านตัวก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง
รายงานการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ของ Today Show ระบุเช่นกันว่า เชื้อโรคหลายชนิด เช่น ไวรัสไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อี-คอไล หรือโรคติดต่อร้ายแรงอย่าง MRSA ต่างพบอยู่ตามสนามบินและบนเครื่องบินหลายลำ นอกจากนี้ ธนบัตรต่างๆจากหลายประเทศที่และเปลี่ยนตามสนามบิน ก็มีเชื้อโรคหลายล้านตัวปะปนอยู่เช่นกัน
รายงานของ Aquaint แนะนำ 4 วิธีในการป้องกันเชื้อโรคบนเครื่องบิน
วิธีแรกคือให้พยายามทำความสะอาดสิ่งของทุกชิ้นที่ใช้บนเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นถาดอาหาร ที่วางแขน หรือเข็มขัดนิรภัย รวมทั้งทำความสะอาดมือของตนเองบ่อยๆ
วีธีที่สอง ให้นำหมอนหรือผ้าห่มขึ้นเครื่องไปด้วย เนื่องจากหมอนและผ้าห่มบนเครื่องบินไม่ได้ซักกันบ่อยๆ จึงผ่านผู้โดยสารมาหลายคนก่อนมาถึงคุณ
วิธีที่สาม พยายามอย่าเดินไปไหนมาไหนบนเครื่องบินด้วยเท้าเปล่า เพราะพรมและพื้นเครื่องบินนั้นเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก
วิธีที่สี่ พยายามดื่มน้ำบ่อยๆอย่าให้ขาดน้ำจนปากแห้ง ผิวแห้ง เพราะรายงานของ Mayo Clinic บอกไว้ว่าอาการขาดน้ำนั้นทำให้ร่างกายเรารับเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้ใช้สเปรย์ฉีดจมูกบ่อยๆ เพื่อให้โพรงจมูกและลำคอมีของเหลวหล่อลื่นอยู่เสมอ ช่วยป้องกันแบคทีเรียได้อีกทางหนึ่ง
ที่มา : http://www.voathai.com/content/germs-on-plane/2788620.html

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

งานประชุมวิชาการนักกำหนดอาหาร 27 - 28 เมษายน 2558

อาหารบำบัดโรค เมนูวันนี้ คัดสรรที่คุณค่าด้วยโภชนาการที่เหมาะสม


งานประชุมวิชาการนักกำหนดอาหาร 27 - 28 เมษายน 2558 โภชนากรประจำโรงพยาบาลทั่วประเทศเข้าร่วม จัดโดย ผศ.ดร. ชนิดา ปโชติการ นายกสมาคม ซึ่งคุณพัชรวีร์ ทันละกิจ เลขานุการเป็นประสานงาน ให้การสนับสนุนสื่อประชาสัมพันธ์ Kuu Ne คูเน่ นวัตกรรมผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพโซเดียมต่ำปลอดสารเคมีธรรมชาติ100% แทนผงชูรสและน้ำสต๊อก(น้ำซุป) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารประจำครัวโรงพยาบาล 
บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
Line id : OatEcho
Line@WFK7799W
คมชาญ 0867917007

     
Kuu Ne ได้รับการสนับสนุนจาก รพ.ราชวิถี โดยคุณลาวัลย์ หัวหน้าฝ่ายโภชนาการ เป็น รพ.นำร่อง ต้นแบบ อาหารสุขภาพ ผลิตอาหารให้ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์บริโภค ตามวิสัยทัศน์ อาหารดีมีคุณภาพ วิชาการเป็นเลิศ เกิดสุขในองค์กร ได้จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้กับโภชนาการประจำโรงพยาบาลทั่วประเทศ ได้เพิ่มพูนความรู้ ทักษะ สู่ภาคปฏิบัติจริง โดยมีผลิตภัณฑ์ คูเน่ ผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ โซเดียมต่ำปลอดสารเคมีธรรมชาติ100% เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารด้วย  ขอขอบพระคุณทุกท่านมาก ณ โอกาสนี้

 

โภชนากรโรงพยาบาล สามารถสั่งซื้อ Kuu Ne / Kuu Chef ได้นะ อยู่ในทะเบียนบัญชีรายชื่อวัตถุดิบในการประกอบอาหารของ กรมการแพทย์ และสำนักการแพทย์แล้ว
ติดต่อได้ที่ คุณคมชาญ เอกเตชวุฒิ 0867917007 บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด 
www.ptpfoods.com
www.facebook.com/kuunepage
Line id : OatEcho


วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นักพัฒนาพันธุ์พืชในสหรัฐกำลังปรับปรุงให้ผักมีรสชาดดีขึ้นและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น

นักพัฒนาพันธุ์พืชในสหรัฐกำลังปรับปรุงให้ผักมีรสชาดดีขึ้นและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น


ผู้บริโภคในสหรัฐต่างได้รับประโยชน์ด้านความสะดวกและราคาที่ถูกลงจากบรรดาร้านขายของชำระดับนานาชาติที่แข่งกันเปิดบริการและการนำเข้าผักผลไม้หลากหลายชนิดทำให้มีวางขายเกือบตลอดทั้งปี แต่ก็มีข้อด้อยเช่นกัน นั่นก็คือผลไม้อาจยังดิบอยู่หรือขาดรสชาด 
 
คุณ Mace เป็นกุ๊กประจำร้านอาหารที่มีระดับใรรัฐโอเรกอน เขาบอกว่าลูกค้าทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ล้วนแต่อยากรับประทานผักที่มีรสชาดดี และเป็นรสชาดตามธรรมชาติ  
คุณ Mace บอกว่าในช่วงเดือนนี้ ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านจะเริ่มสังเกตุเห็นว่า ทางร้านเริ่มปรับประเภทของผักที่ใช้ปรุงอาหารจากผักฤดูหนาวเป็นผักในฤดูใบไม้ผลิ และในระยะยาว เขาหวังว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็มีการพัฒนาให้ผักมีรสชาดดีกว่าเดิม โดยเฉพาะมะเขือยาว อยากให้มีการพัฒนามะเขือยาวให้มีเปลือกที่บางลง นิ่มน่ากินมากขึ้นแทนที่จะมีเปลือกที่หนาและเหนียว

คุณ Mace เป็นกุ๊กคนหนึ่งที่เข้าร่วมในโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาผักให้มีรสชาดดีขึ้น (the Culinary Breeding Network) ที่ตั้งขึ้นโดยมหาวิทยาลัย Oregon State University โครงการนี้ระดมความคิดจากผู้พัฒนาพันธุ์พืช ชาวนา กุ๊กและผู้พัฒนาเมล็ดพืชจากทั่วสหรัฐเพื่อหาทางพัฒนาผักชนิดต่างๆ ให้มีรสชาดดีขึ้นและให้วิตามินมากขึ้น
คุณ Jim Myers ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาพันธุ์พืชที่มหาวิทยาลัยกล่าวว่าโครงการนี้ไม่ใช้วิธีการทางพันธุวิศวกรรมแต่อย่างใด แต่ใช้วิธีปรับปรุงพันธุ์ผักด้วยวิธีการผสมพันธุ์แบบดั้งเดิมและทางทีมงานมีพันธุ์พืชหลากหลายมากให้เลือกพัฒนา

เจ้าหน้าที่พัฒนาพันธุ์พืชในห้องแลปของคุณ Myers ทำการผสมเกสรของพืชข้ามสายพันธุ์กันเพื่อให้ได้ลักษณะเด่นตามต้องการ ในเรือนเพาะชำ บรรดานักวิจัยทำการผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ผักบล็อคโคลี่และถั่ว pole beans สำหรับพืชบางชนิดในเรือนเพาะชำ นักวิจัยต้องพันเทปปิดช่อดอกเอาไว้หลังทำการผสมเกสรข้ามสายพันธุ์เพื่อป้องกันไม่ให้มีละอองเกสรของสายพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ต้องการเข้าไปปะปนในช่อดอกและทำการติดป้ายระบุรายละเอียดของสายพันธุ์ต่างๆ ของผักบล็อกโคลี่ที่นำไปผสมกัน
จุดประสงค์หลักของโครงการนี้คือมุ่งเลือกเอาพันธุ์ผักที่ออกมาดีที่สุดไปปลูกเพื่อการค้า
ทางมหาวิทยาลัย Oregon State University ได้นำมะเขือเทศพันธุ์ใหม่หลายพันธุ์ออกมาวางตลาดแล้วที่ผลมะเขือเทศมีสีม่วงเข้มและมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าเดิม คุณ Myers กล่าวว่าทางโครงการเตรียมที่จะนำพริกหยวกฮาบาเนโร่ (habanero) ที่เผ็ดน้อยออกวางตลาดเป็นตัวต่อไป และเมื่อเร็วๆ นี้ คุณ Myers และทีมนักวิจัยได้ทำการทดลองชิมพริกฮาบาเนโร่ดองหลากหลายสีที่พวกเขาเพาะพันธุ์ขึ้นมาเองในเรือนเพาะชำ 
คุณ Phil Simon นักพัฒนาพันธุ์ผักประจำหน่วยงานวิจัยทางการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐที่รัฐวิสคอนซิน เขาทำการพัฒนาพันธุ์แครอทให้ดีขึ้นมานาน 35 ปีแล้ว เขากล่าวว่าผู้บริโภคท้องถิ่นที่ต้องการผักที่มีคุณภาพหันมาซื้อผักที่ปลูกในท้องถิ่นกันมากขึ้นส่งผลให้ชาวนาในท้องถิ่นเริ่มเสาะหาพันธุ์พืชและผักที่หลากหลายมากขึ้นมาปลูกเพื่อรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคเหล่านี้ 
ที่มา : http://www.voathai.com/content/breeding-better-veggies-tk/2747219.html

ยาต้านฮิสตามีนแก้อาการแพ้ใช้บำบัดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ผลและราคาถูก

ยาต้านฮิสตามีนแก้อาการแพ้ใช้บำบัดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ผลและราคาถูก

ทีมนักวิจัยอเมริกันค้นพบว่ายาต้านฮิสตามีนสามารถบำบัดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ผลดี

Pills for Hepatitis C treatment

ยาคลอร์ไซคลิซีน (Chlorcyclizine HCL) เป็นยาต้านฮิสตามีนที่คิดค้นขึ้นราว 50 ปีที่แล้ว เพื่อใช้บำบัดอาการแพ้ 
แต่ทีมนักวิจัยที่ U.S. National Institute of Health แห่งสหรัฐได้ค้นพบว่ายาแก้แพ้ชนิดนี้และยาที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกันอาจจะมีประสิทธิภาพในการบำบัดการติดเชื้อไวรัสตับอับเสบชนิดซีได้ผลดี
ยาคลอร์ไซคลิซีนและยาในกลุ่มเดียวกัน บำบัดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ด้วยการบล็อกเชื้อไวรัสไม่ให้เข้าไปก่อให้เกิดการติดเชื้อในเซลล์ 
คุณ Jake Liang ผู้อำนวยการฝ่ายโรคตับที่สถาบันโรคเบาหวาน โรคในระบบย่อยอาหารและโรคไตแห่งชาติ (NIH’s National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงวอชิงตัน กล่าวว่าในช่วงของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสตับอักเสบซีจะแพร่เข้าไปในเซลล์ตัวใหม่ๆ ตลอดเวลา ทีมนักวิจัยคิดว่าหากป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปติดเชื้อในเซลล์ตัวใหม่ๆ หรือทำลายขั้นตอนการติดเชื้อได้สำเร็จ เซลล์ที่ติดเชื้อแล้วจะตายลงและไม่แพร่เชื้อต่อแก่เซลล์ข้างเคียง 
เชื้อไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อทางเพศสัมพันธ์และติดต่อผ่านทางเลือดที่ติดเชื้อ และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอาจจะเป็นสาเหตุของอาการตับล้มเหลว มะเร็งตับและอาการตับแข็ง มีคนหลายล้านคนทั่วโลกที่เป็นพาหะของโรคนี้และเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโรคนี้
คุณ Liang เน้นว่าปัจจุบันมีการบำบัดที่มีประสิทธิภาพหลายวิธีด้วยกัน แต่ยาต่างๆ ที่ใช้ในการรักษามีราคาแพงมาก มีอาการข้างเคียงของยาและเชื้อโรคเริ่มต่อต้านยาที่ใช้รักษา นอกจากนี้ยาบำบัดเหล่านี้ยังใช้ได้กับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสายพันธุ์ HP เท่านั้น นี่ทำให้มีความจำเป็นอย่างมากในการพัฒนาวิธีบำบัดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
ค่าบำบัดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีที่ใช้ในปัจจุบันอยู่ที่ราว 84,000 ดอลล่าร์สหรัฐสำหรับการบำบัดที่นาน 12 สัปดาห์ ซึ่งแพงมากเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยยาคลอร์ไซคลิซีนที่ราคาเพียงเม็ดละ 50 เซ็นท์สหรัฐฯหรือราว 15 บาทเท่านั้น
ในขั้นต่อไป ทีมนักวิจัยวางแผนที่จะกำหนดให้ได้ว่าจะต้องใช้ยา คลอร์ไซคลิซีนในปริมาณเท่าใดในการบำบัดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี 
ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine
ที่มา : http://www.voathai.com/content/hepatitis-antihistamine-treatment-tk/2744190.html