ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

มะเร็งใกล้ตัว... แฝงมาในรูปแบบต่างๆ หากไม่ใส่ใจในอาหาร

   
    
ไกล “มะเร็ง” ง่ายๆ แค่ใส่ใจอาหาร

       อาหารปิ้งย่างที่ไหม้เกรียมอาจส่งผลให้เกิดมะเร็งได้
       เมื่อเอ่ยถึงโรคร้ายแรงอย่าง “มะเร็ง” เชื่อว่าคนฟังร้อยทั้งร้อยได้ยินก็นึกอยากหนีให้ไกลแสนไกล เพราะไหนจะความทุกข์ทรมานจากโรครวมถึงขั้นตอนการรักษา ทั้งยังไหนจะค่ายาและค่ารักษาที่ค่อนข้างสูง และในระยะหลังๆ เมื่อกระแสการดูแลสุขภาพมีมากขึ้น ทำให้มีทั้งกูรูและผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ ตบเท้าออกมาแนะนำวิธีการดูแลรักษาสุขภาพ รวมถึงอาหารสุขภาพอันหลากหลาย และแนะนำวิตามินสำเร็จรูปที่มีมากมายในท้องตลาด เพื่อรักษาสุขภาพให้ไกลจากโรคร้ายต่างๆ รวมถึงมะเร็งร้าย
      
       แต่ทั้งที่จริงๆ แล้ว วิธีการห่างไกลมะเร็งแบบง่ายๆ อยู่แค่ “ความใส่ใจ” ของเราๆ ท่านๆ เองแท้ๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “การเลือกกิน” นั่นเอง ที่ช่วยให้เราหลีกลี้หนีไกลมะเร็งได้
      
       เมื่อเร็วๆ นี้ มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ได้ออกมารายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดของโรคมะเร็ง ซึ่งระบุว่าสถิติล่าสุดพบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 56,058 ราย หรือ 8,834 รายต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% โดยมะเร็งเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับ 1 และสถิติล่าสุดในขณะนี้ พบว่า คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็ง 241,051 ราย คิดเป็น 80,350 รายต่อปี เป็นหญิงประมาณ 120 ราย และเป็นชายประมาณ 140 รายต่อประชากร 1 แสนคน และพูดให้ชัดลงไปอีกก็คือ มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเดือนละ 4,671 ราย หรือ 156 รายต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 23% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสถิติปี 2541-2543 ซึ่งคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 รายต่อปี
ไกล “มะเร็ง” ง่ายๆ แค่ใส่ใจอาหาร
        พญ.สุดสวาท เลาหวินิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุกรรม และนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เผยว่า สิ่งที่วงการแพทย์ไทยมีความกังวลเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ง ยังคงเป็นเรื่องของความรู้ ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง เช่น อาหารที่เป็นประโยชน์ ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารที่ไม่มีโปรตีน เช่น ผู้ป่วยมะเร็งบางรายไม่ยอมรับประทานเนื้อสัตว์ แต่บางรายกลับไปใช้ยาสมุนไพรหรือยาลูกกลอนที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ซึ่งอาจเกิดผลเสียต่อผู้ป่วย
      
       “ปัจจุบันมีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับผลของการกินอาหารกับต่อโรคมะเร็งอยู่พอสมควร ซึ่งจากการศึกษาพบว่า อาหารบางชนิดสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง เช่น อาหารที่มีสารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากการเผาไหม้ปิ้ง ย่าง จนเกรียม อาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรทจากสารรักษาสภาพอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารหมักดอง และอาหารที่มีความชื้นและมีเชื้อราปนเปื้อน ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าอาหารอื่น”
ไกล “มะเร็ง” ง่ายๆ แค่ใส่ใจอาหาร
       พญ.สุดสวาทกล่าวต่อไปอีกว่า โรคมะเร็งอาจเกิดจากผลของสารอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของการเผาผลาญอาหาร ถ้ามีอนุมูลอิสระนี้มากเกินไป เซลปกติอาจกลายพันธุ์เป็นเซลมะเร็งได้ ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า antioxidant พบมากในผักและผลไม้บางชนิด เช่น ชาเขียว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งจะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งได้ระดับหนึ่ง การกินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง ไขมันสูง แค่พอเหมาะ และหันมากินปลามากขึ้น เน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น อาจช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งได้
      
       “อาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดมะเร็งโดยตรง แต่น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการก่อโรคมะเร็ง ดังนั้น อาหารเพื่อต่อต้านการเกิดมะเร็งจึงควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ไม่ใช่เลือกที่จะบริโภคหรือไม่บริโภคอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง และเป็นอาหารที่มีความสะอาด เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ” พญ.สุดสวาทกล่าว
ไกล “มะเร็ง” ง่ายๆ แค่ใส่ใจอาหาร
น่าห่วงอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่เลือกใช้ยาลูกกลอนที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย
       แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมรายนี้อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว ความต้องการอาหารจะแตกต่างจากคนปกติ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การรับยาเคมีบำบัด ซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อซ่อมแซมเซลปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถรับการรักษาได้ครบถ้วนตามแผนที่แพทย์ได้วางไว้ นอกจากนี้ โรคมะเร็งหรือวิธีการรักษาอาจมีผลทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร แผลอักเสบเยื่อบุช่องปากหรือหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีแนวโน้มที่จะขาดสารอาหาร และมีน้ำหนักตัวลดลง
ไกล “มะเร็ง” ง่ายๆ แค่ใส่ใจอาหาร
       “ควรพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ในระหว่างการรักษา ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือ อาหารต้องสุกและสะอาด ในขณะที่มีภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก เช่น หอยนางรม กุ้งเต้น ปลาดิบ ที่สำคัญ ยังไม่เคยมีหลักฐานว่าการเลือกรับประทานอาหารจะทำให้มะเร็งโตช้าลงหรือฝ่อลงแต่อย่างใด เนื้อสัตว์หนึ่งคำที่รับประทานเข้าไป ย่อมกระจายไปสู่เซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ไม่ได้เลือกที่จะวิ่งไปสู่ก้อนมะเร็งเพียงที่เดียว ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นของโรคมะเร็งตามมาอีกด้วย ดังนั้น ขอย้ำว่าอาหารต้านมะเร็งควรรับประทานคืออาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนและสมดุล มีความสุกสะอาด ไม่ใช่เลือกรับประทานอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง” 

ที่มา : http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9540000003921

เรามารู้จักสารแต่งกลิ่น**ในขนมกันค่ะ มาไล่ดูและแปลทีละตัวกันเลย โมโนโซเดียมกลูตาเมต = ผงชูรส (MSG) อันนี้เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วนะคะ ริโบไทด์ = เป็นสารเพิ่มรสชาติตัวหนึ่งมีคุณสมบัติคล้ายผงชูรส คือให้รสชาติอร่อย กลมกล่อม แต่มีความอันตรายกว่าผงชูรสถึง 50 เท่า (หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป) โดยส่วนมากจะใช้เป็นสารปรุงรสในบะหมี่สำเร็จรูป ปลาเส้น เป็นต้น ดังนั้นหากรู้แบบนี้แล้ว เราควรที่จะอ่านฉลากโภชนาการและส่วนประกอบของขนมก่อนที่เราจะซื้อทาน หรือแอบดูขนมที่ลูกๆรับประทานด้วย ขนมบางชนิด อาจจะโฆษณาถึงข้อดี เช่น ไร้ไขมัน แคลเซียมสูง โปรตีนสูง ก็อาจจะมีอันตรายจากสิ่งอื่นด้วย ยังไงเวลาเลือกซื้อควรระวังดีๆด้วย

มะเร็งใกล้ตัว และแล้วความจริงก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผยแบ่งปันให้ผู้บริโภคได้รับรู้มากขึ้น ที่พยายามเลี่ยงคำว่า ไม่มีผงชูรส แต่ก็แฝงมาในรูปแบบอื่น เช่นเครื่องปรุงรส ขอให้ดูรายละเอียดส่วนประกอบด้วย
หากมีศัพย์ภาษาอังกฤษแต่งเติม ขอให้ระวังให้ดี เช่นคำนี้ Ribotide ริโบไทด์ และยังอื่นๆอีก
http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/3039/disodium-5-ribonucleotide-ไดโซเดียม-ไรโบนิวคลีโอไตด์

เคยเห็นในฉลากอาหารไหม ไดโซเดียม 5'-ไรโบนิวคลีโอไตด์ (Disodium 5'-Ribonucleotides) อยู่ในกลุ่มเดียวกับ ผงชูรส (monosodium glutamate : MSG) ให้รสอูมามิ (umami) โดยออกฤทธิ์แรงกว่าผงชูรส MSG(monosodium glutamate) 50-100 เท่า 

Facebook โครงการคนไทยเข้าใจฉลากอาหาร

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

รู้ทันป้องกันโรคได้ ตรวจสุขภาพปีละครั้ง

    เล็งตรวจสุขภาพ'คนไทย'รอบที่ 5


 

         นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ กล่าวว่า การสำรวจจำแนกตามช่วงอายุ แบ่งเป็น 5 ช่วงอายุ คือ 1.อายุ 1-5 ปี ทดสอบพัฒนาการ ตรวจปัสสาวะ และดูปริมาณไอโอดีน 2.อายุ 6-9 ปี ทดสอบพัฒนาการ ตรวจปัสสาวะ 3.อายุ 10-19 ปี วัดความดันโลหิต เจาะเลือดวัดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด การทำงานของไต 4.อายุ 20-59 ปี เจาะเลือดวัดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด ภาวะเลือดจาง และ 5.อายุ 60 ปีขึ้นไป วัดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด ภาวะเลือดจาง ซึ่งเด็กและผู้ใหญ่ มีปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน แต่ในทุกช่วงอายุจะเน้นการสำรวจเรื่องโภชนาการว่ามีการบริโภคที่เหมาะสมหรือไม่ คาดว่าใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ในการเก็บข้อมูลวิเคราะห์



          "จากการสำรวจครั้งที่ 4 พบว่า คนไทยกินผักร้อยละ 18 เท่านั้น และยังพบว่าทั้งเพศชาย และเพศหญิง มีเส้นรอบเอวและดัชนีมวลกายเกินค่ามาตรฐาน อีกทั้งส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีระดับคอเลสเตอรอลสูง" นพ.สุวัฒน์กล่าว


ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556  หน้า 10

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

ผู้สูงอายุในประเทศไทย : แนวโน้ม คุณลักษณะ และปัญหา

แนวโน้มทางประชากร

ในช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สภาวการณ์ทางประชากรของประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อัตราการเพิ่มประชากรลดลงจากระดับสูง คือ ประมาณร้อยละ 3.0 ต่อปี ในช่วงปี พ.ศ. 2503 มาสู่ระดับที่ค่อนข้างต่ำ ประมาณร้อยละ 1.1 ต่อปีในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงอัตราการเพิ่มประชากรนี้ เป็นผลจากการเปลี่ยนทั้งในด้านภาวะการตายและภาวะเจริญพันธุ์ หากเริ่มพิจารณาจากภาวะการตาย จะเห็นได้ว่าภาวะการตายมีบทบาทอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงทางประชากรไทยในอดีต การลดระดับการตายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ภาวะเจริญพันธุ์ หรือภาวะการเกิดนั้นยังคงอยู่ในระดับสูง อันเป็นเหตุให้จำนวนประชากรไทยในอดีต เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันอัตราการตายของประชากรของประเทศ ได้ลดลงมาอยู่ในระดับประมาณ 5-6 ต่อประชากรพันคนต่อปี

การลดลงของภาวะการตายของประชากรไทยเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเอาวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่มาใช้ และการดำเนินงานทางด้านการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการขยายบริการทางการแพทย์ เช่น การเพิ่มจำนวนศูนย์บริการสาธารณสุข และโรงพยาบาล ไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ หรือการมีโครงการสาธารณสุขขั้นมูลฐาน และการดำเนินการควบคุมโรคติดต่อที่สำคัญ อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอดีต ก็ส่งผลให้รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายในการป้องกันสุขภาพมีมากขึ้น นอกจากนี้การพัฒนาทางสังคม โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและการส่งเสริมสถานภาพสตรี น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนช่วยลดระดับการตาย โดยเฉพาะการตายของทารกและเด็ก ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากมารดาที่ได้รับการศึกษาที่ดี ย่อมจะมีโลกทัศน์ที่เปิดกว้าง ยอมเปิดรับวิทยาการสมัยใหม่ รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันรักษาสุขภาพให้กับบุตร

ภาวะเจริญพันธุ์เป็นอีกกระบวนการหนึ่งทางประชากร ที่ส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่ออัตราการเพิ่มประชากรของประเทศไทย อัตราเจริญพันธุ์รวมยอด หรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยที่สตรีคนหนึ่งจะให้กำเนิดได้ตลอดวัยเจริญพันธุ์ ได้ลดลงจาก 6.3 ในช่วงปี พ.ศ. 2503-2508 จนเหลือประมาณ 2 คนในปัจจุบัน
การที่ระดับเจริญพันธุ์ในกลุ่มสตรีไทยลดลงอย่างมากในช่วงเวลาไม่นานนัก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากนโยบายประชากร ที่เน้นการวางแผนครอบครัวโดยการสมัครใจในกลุ่มคู่สมรสที่เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2513 ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การวางแผนครอบครัวแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ก็คือ การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพของโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ นอกจากนี้การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคมตลอดจนการมีส่วนร่วมของสตรี ในการพัฒนาด้านต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการมีบุตร กล่าวคือ จะคำนึงถึง "คุณภาพ" มากกว่า "ปริมาณ"

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอายุเป็นประชากรสูงวัย

จากการเปลี่ยนแปลงด้านภาวะการเจริญพันธุ์ และภาวะการตายของประชากรดังกล่าว ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางอายุของประชากรไทย กล่าวคือ พบว่าในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาทั้งจำนวนและสัดส่วนของประชากรไทยในวัยเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) ลดลง ในขณะที่จำนวนของประชากรในวัยแรงงาน (อายุ 15-29 ปี) ยังคงเพิ่มขึ้น สำหรับประชากรสูงอายุหรือประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวนและสัดส่วนเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต กล่าวคือ ประชากรสูงอายุจะเพิ่มจากประมาณ 5 ล้านคนในปัจจุบันเป็นประมาณ 10 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และเป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราเพิ่มของประชากรสูงอายุ จะเร็วกว่าประชากรโดยรวมทั้งหมด ดังจะเห็นได้จาก ระหว่างปี 2523 ถึงปี 2533 ประชากรสูงอายุจะเพิ่มเป็นร้อยละ 47 แต่เมื่อเปรียบเทียบการเพิ่มระหว่างปี 2523 ไปจนถึงปี 2563 จะพบว่าประชากรสูงอายุ จะเพิ่มสูงถึงกว่าร้อยละ 300 (ตารางที่ 1)

สาเหตุของการเพิ่มจำนวนประชากรสูงอายุอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะภาวะเจริญพันธุ์ที่เคยสูงในอดีต และภาวะการตายที่ลดลงเป็นลำดับอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังสงครามโรคครั้งที่ 2 ทำให้ประชากรในรุ่นที่เคยเป็นเด็ก ซึ่งเกิดมาเป็นจำนวนมากในอดีต ได้ค่อยๆ ทยอยเข้าสู่วัยแรงงานและวัยสูงอายุในที่สุด

 นอกจากนี้ยังพบว่า ในกลุ่มประชากรสูงอายุจะมีผู้ที่อยู่ในกลุ่มอายุมากๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับเช่นในปี พ.ศ. 2533 มีผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป เพียงประมาณ 700,000 คน คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,400,000 คน ในราวปี พ.ศ. 2553 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 2 ล้านคนในปีพ.ศ. 2563

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย จะพบว่าจำนวนผู้สูงอายุที่เป็นเพศหญิง จะมีมากกว่าเพศชาย และเมื่อพิจารณาอัตราส่วนทางเพศของประชากรในประเทศไทยจะพบว่า อัตราส่วนทางเพศเมื่อแรกเกิด จะมีเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง แต่ในกลุ่มสูงอายุกลับพบว่า มีผู้สูงอายุเพศหญิงมากกว่าผู้สูงอายุเพศชาย สะท้อนถึงอัตราการตายที่สูงกว่าของประชากรเพศชาย หากพิจารณาจากความคาดหมายการคงชีพเมื่อแรกเกิด (Life expectancy at birth; co) จะพบว่าประชากรไทยมีความหมายการคงชีพเมื่อแรกเกิด เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยที่เพศหญิงมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวกว่าเพศชาย ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจการเปลี่ยนแปลงประชากร พ.ศ. 2538-2539 แนวโน้มความคาดหมายการคงชีพ ในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 60 และ 70 ปี จะพบว่าประชากรที่มีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 60 ปี มีโอกาสที่จะอยู่รอดเพิ่มสูงอีกเป็นลำดับ จากข้อมูลการสำรวจการเปลี่ยนแปลงประชากร พ.ศ. 2528-2529 และ พ.ศ. 2538-2539 แสดงให้เห็นว่า ประชากรเพศชายที่มีอายุ 60 ปี มีจำนวนโดยเฉลี่ยที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เพิ่มประมาณ 4.8 ปี และเพศหญิงเพิ่มประมาณ 5.4 ปี คือเป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้สูงอายุเพศหญิงมีโอกาส หรือจำนวนปีโดยเฉลี่ยที่จะมีชีวิตอยู่รอด สูงกว่าผู้สูงอายุเพศชายอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามประเด็นที่ควรสนใจ คือ ความยืนยาวของชีวิตที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นการเพิ่มความยืนยาวที่มีภาวะสุขภาพที่ดีหรือไม่

คุณลักษณะที่น่าสนใจและปัญหาของผู้สูงอายุ

คุณลักษณะของผู้สูงอายุและปัญหาต่างๆ ที่ผู้สูงอายุในปัจจุบันกำลังประสบ เป็นข้อมูลที่สำคัญ ที่สามารถใช้สะท้อนถึงแนวโน้มของปัญหา อันสืบเนื่องมาจากการที่จะมีประชากรผู้สูงอายุ เพิ่มขึ้นในอนาคต ตลอดจนสามารถใช้เป็นแนวทางในการวางนโยบาย และแผนการดำเนินงานที่เหมาะสม เกี่ยวกับผู้สูงอายุต่อไปในอนาคต วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ และได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 10 ปี

ข้อมูลจากโครงการสำรวจระดับประเทศ ที่ทางวิทยาลัยดำเนินการร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2539 คือโครงการสำรวจสภาวะผู้สูงอายุในประเทศไทย พบว่าคุณลักษณะของผู้สูงอายุในปัจจุบัน มีความแตกต่างไปจากผู้สูงอายุในอนาคตในหลายด้าน เช่น ผู้สูงอายุในปัจจุบันมีจำนวนไม่น้อย ที่มีความสามารถในการอ่านอย่างจำกัด หรืออ่านหนังสือไม่ออก และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้สูงอายุเพศชายกับเพศหญิง จะเห็นถึงความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือผู้สูงอายุเพศหญิงมีสัดส่วนของผู้ที่อ่านไม่ออก หรืออ่านหนังสือได้ลำบากสูงกว่าผู้สูงอายุในเพศชาย อย่างไรก็ตามในสัดส่วนของผู้สูงอายุที่ไม่รู้หนังสือ คงจะลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากการขยายการศึกษาภาคบังคับเป็นลำดับ

ความแตกต่างในระดับการศึกษา ระหว่างผู้สูงอายุปัจจุบันและในอนาคตนี้อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตด้านต่างๆ ของผู้สูงอายุ อาทิเช่น ผู้สูงอายุในอนาคตที่มีการศึกษาดีขึ้น อาจจะชอบหรือเลือกรูปแบบการอยู่อาศัย ที่แตกต่างกันไปจากผู้สูงอายุในปัจจุบัน เช่น อาจจะเลือกที่จะอยู่กันเองตามลำพังมากกว่าจะอาศัยอยู่กับลูกหลาน

นอกจากนี้ผลการวิจัยที่ผ่านมา ยังชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสำคัญที่ผู้สูงอายุไทยประสบคือ ปัญหาทางเศรษฐกิจและ สุขภาพ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุ มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ และ 2 ใน 3 มีสุขภาพอยู่ในระดับปานกลางถึงไม่ดีมาก โรคที่มีการรายงาน ว่าเป็นกันมากในกลุ่มผู้สูงอายุ คือ ปวดหลัง ปวดเอว ไขข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะ โรคหัวใจ นอกจากนี้ยังพบว่า ภาวะการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุนี้ เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้ผู้สูงอายุ ไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้

 เมื่อพิจารณาถึงสภาวะสุขภาพ ในลักษณะของจำนวนปีที่คาดว่า จะมีสุขภาพดีในผู้สูงอายุไทย (ตารางที่ 2) พบว่า การที่ประชากรไทยมีชีวิตยืนยาวขึ้น มิได้หมายถึงประชากรผู้สูงอายุมีสุขภาพดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าช่วงชีวิตที่ยืนยาวขึ้นนั้น จะเป็นช่วงชีวิตที่มีการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับด้วย ดังจะเห็นได้จากจำนวนปีที่คาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพดี (Healthy life expectancy) ลดลงเป็นลำดับ ตามอายุของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั้งในประชากรเพศชาย และเพศหญิง และเมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนร้อยของอายุคาดหวัง ที่มีสุขภาพดีต่อความคาดหมายการคงชีพ จะพบว่า ในแต่ละอายุกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อย ของจำนวนปีที่คาดหวังมีชีวิต จะเป็นปีที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพดี และอัตราส่วนจะลดลงเป็นลำดับ ตามอายุที่เพิ่มสูงขึ้น

 นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ชาย แต่มิได้หมายความว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เพราะจากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า อัตราส่วนของจำนวนปีที่คาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพด ีต่อจำนวนปีที่คาดหวังจะมีชีวิต และอัตราส่วนร้อยที่ผู้สูงอายุของเพศหญิง จะต่ำกว่าเพศชายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงวัยสูงอายุตอนปลาย

 ประเด็นหนึ่ง ที่มักจะมีการพูดถึงกันบ่อยด้วยความห่วงใย คือ เรื่องของการที่ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง อย่างไรก็ตามผลการวิจัยที่ผ่านมากลับพบว่า ประเทศไทยยังโชคดี ที่ครอบครัว และเครือญาติยังคงเป็นสถาบันหลัก ในการดูแลผู้สูงอายุ ในปัจจุบันประมาณร้อยละ 72 ของผู้สูงอายุที่มีบุตร อาศัยอยู่กับบุตรแต่มีเพียงร้อยละ 2 ของผู้สูงอายุที่มีบุตรแต่อยู่คนเดียว อย่างไรก็ตามพบว่า ผู้สูงอายุเหล่านี้ ยังได้รับการเยี่ยมเยียนจากบุตร

 ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่มีบุตรซึ่งมีอยู่น้อยมาก เพียงประมาณร้อยละ 4 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ส่วนใหญ่ก็อยู่กับญาติพี่น้อง มีเพียงร้อยละ 18 ที่อยู่ลำพังคนเดียว แต่ผู้สูงอายุในกลุ่มนี้ เกือบครึ่งหนึ่งก็พบปะกับญาติพี่น้องทุกวัน

 โดยสรุปภาพจากงานวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุไทยปัจจุบันมีไม่มากนักที่ถูกทอดทิ้งจากครอบครัว หรือญาติพี่น้อง สถาบันครอบครัวยังคงเป็นสถาบันหลัก ในการเกื้อหนุนผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรชะล่าใจภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของครอบครัว ในการเกื้อหนุนผู้สูงอายุได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ เป็นประเด็นหนึ่งที่น่าห่วงใย ทำอย่างไรจึงจะทำให้ประชากรที่มีอายุยืนยาวขึ้น มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นภาระของบุตรหลาน ช่วยเหลือตนเองได้ทั้งทางสังคม และเศรษฐกิจ ในส่วนนี้กระทรวงสาธารณสุข คงมีบทบาทอย่างสำคัญในการส่งเสริม และดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ สำหรับคนที่เข้าใกล้วัยสูงอายุนั้น ควรรณรงค์ให้มีการเตรียมตัวก่อนเป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ การเตรียมการนี้ควรส่งเสริม ทั้งในด้านการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น การออกกำลังกาย การกินอยู่ การตรวจสุขภาพ การเตรียมการด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนที่อยู่อาศัย ส่วนในกลุ่มวันสูงอายุนั้น ควรมีมาตรการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หรือลดโอกาสที่จะเกิดการเจ็บป่วยให้น้อยที่สุด

ตารางที่ 1 การคาดประมาณแนวโน้มของประชากรสูงอายุในประเทศไทย

โดยมาตรวัดต่างๆ ทางประชากรศาสตร์. พ.ศ. 2513-2593
มาตรวัด251325232533254325532563257325832593
1) จำนวน
ประชากร
(พันคน)
         
รวม35,74546,71855,558060,49564,56867,79870,73572,67872,969
60+1,1752,5273,7195,2456,95510,20714,89718,86120,489
65+1,10771,6492,4133,5014,7586,75510,22014,02315,860
70+6169221,4772,1423,0974,1416,4829,51211,637
75+3134848031,1491,7292,3673,6005,5327,475
2) แนวโน้ม
การเพิ่มประชากร
จาก ปี 2523
(ร้อยละ)
         
รวม--19.029.538.245.151.455.656.2

มาตรวัด251325232533254325532563257325832593
60+--47.2107.6175.2303.9489.5646.4710.8
75+--65.9137.4257.2389.0643.81403.01444.4
3) สัดส่วน
ประชากรวัยเด็ก
และวัยสูงอายุ
         
< 1546.240.031.825.221.620.119.018.718.6
60+4.85.46.78.710.815.121.126.028.1
65+3.03.54.35.87.410.014.419.321.7
4) อัตราส่วน
พึ่งพิงวัยสูงอายุ
         
รวม9.89.910.913.115.923.235.146.952.7
ชาย9.04.54.95.87.110.415.921.323.8
หญิง10.65.46.07.38.912.919.225.728.8
5) อัตราส่วน
พึ่งพิงรวม
104.183.262.751.147.954.266.880.887.5
ที่มา : Napaporn Chayovan 1998. Calculated from data provided in United Nations (1996) World Population Prospects, the 1996 Revision, p. 794 and The Sex and Age Distribution of the World Populations, the 1996 Revision, p. 788.789.

ตารางที่ 2 ความยืนยาวของชีวิต ในทวีปเอเชีย


Figures are the life expectancy of people born in these years.
Source U.S. Bureau of Census/International Data Base

1. โครงสร้างประชากร
1.1 แนวโน้มปิรามิดประชากรในอนาคต

จากโครงการของประชากรในแต่ละช่วง 10 ปี เห็นได้ว่าประชากรในวัยเด็กมีสัดส่วนลดลง แต่ประชากรผู้สูงอายุนั้นมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2. ผู้สูงอายุกับการเป็นภาระ
2.1 อัตราการเป็นภาระ


อัตราการเป็นภาระโดยรวมนั้นภาคใต้มีสัดส่วนสูงสุด รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคกลาง ส่วนกรุงเทพมหานครมีสัดส่วนการเป็นภาระน้อยที่สุด นอกเขตเทศบาลมีสัดส่วนการเป็นภาระมากกว่าในเขตเทศบาล นอกจากนี้การเป็นภาระในวัยเด็กของภาคใต้มีสัดส่วนสูงที่สุด แต่การเป็นภาระในวัยชราภาคเหนือมีสัดส่วนสูงที่สุด

2.2 แนวโน้มอัตราการเป็นภาระ


อัตราการเป็นภาระโดยรวมในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2533-2553 และค่อยๆ เพิ่มขึ้นหลังจากปี 2553-2563 เนื่องจากอัตราเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็วจนถึงระดับทดแทนและอายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่สูงขึ้นมีผลทำให้กลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทั้งสัดส่วนและจำนวน ดังนั้นอัตราการเป็นภาระในวัยเด็กจึงลดลง ในขณะที่การเป็นภาระในวัยชรามีอัตราเพิ่มขึ้น

3. ความยืนยาวของชีวิต
อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดและเมื่ออายุ 60 ปี

รูปกราฟ
อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดทั้งเพศหญิงและชายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (จากปี 2517-19 ถึงปี 2528-29) แต่หลังจากปี 2528-29 เป็นต้นไปมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนอายุขัยเฉลี่ยเมื่ออายุ 60 ปี ลดลงเล็กน้อยจากปี 2517-19 ถึงปี 2528-29 หลังจากนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยทั้งสองเพศ และอายุขัยเฉลี่ยของเพศหญิงสูงกว่าชาย

โดย รศ.ดร.วิพรรณ ประจวบเหมาะ รูฟโฟโล วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา :  http://hp.anamai.moph.go.th/soongwai/statics/about/soongwai/topic004.php#top