ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ร่วมส่งความปรารถนาดีในวันปีใหม่ ให้สุขกาย สุขใจ กันถ้วนหน้า


MONDAY, DECEMBER 24, 2012

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ร่วมส่งความปรารถนาดีในวันปีใหม่ ให้สุขกาย สุขใจ กันถ้วนหน้า


ในศุภวารดิถีขึ้นปีใหม่ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ท่านพร้อมครอบครัว ประสบแต่ความสุขด้วยจตุรพิธพรชัย สมบูรณ์พูนผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการ

สุขเอ๋ย สุขใจ สุขภายใน เมื่อใจหยุด
สุขใส ผ่องพิสุทธิ์ ยิ่งผ่องผุด ดุจจันทร์ฉาย
ยิ่งนิ่ง ยิ่งสว่าง ยิ่งกระจ่าง นุ่มนวลพราย
ยิ่งหยุดยิ่งมากมาย ความสุขสุด อนันต์ทวี





ด้วยความปรารถนาดีจาก บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด
ผู้ผลิตและจำหน่าย Kuu Ne คูเน่ นวัตกรรมผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่ เพื่อสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ยารักษาโรคมีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานร่วมกับส้มโอ


มียารักษาโรคหลายชนิดมากขึ้นที่มีปฏิกริยาทางต่อร่างกายเมื่อรับประทานร่วมกับส้มโอ




ในช่วง 4 ปีระหว่างปีพุทธศักราช 2551 ถึง 2555 มียารักษาโรคที่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายหากรับประทานร่วมกันส้มโอเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 17 ชนิดเป็น 43 ชนิด ในช่วง 4 ปีนั้น บรรดานักวิจัยกล่าวว่ามียารักษาโรคที่ออกมาสู่ตลาดปีละ 6 ชนิดเป็นอย่างน้อยที่มีผลข้างเคียงรุนแรงนี้
 

ส้มโอมีเอ็นไซม์ที่เรียกว่า CYP23A4 ที่มีปฏิกริยากับยารักษาโรคบางชนิดในกระเพาะอาหารและลำใส้ ทำให้ผลของยาลดลงหรือไม่ก็ไปเพิ่มฤทธิ์ของยาในกระเเสเลือดให้รุนแรงมากขึ้นถึงขั้นเป็นอันตรายได้

ยาที่มีปฏิกริยาทางลบหากรับประทานร่วมกับส้มโอได้แก่ยาลดไขมันในเส้นเลือดและยาลดระดับความดันโลหิต

คุณเดวิด เบลลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ที่สถาบันวิจัยสุขภาพ Lawson Health Research Institute ในออนโตริโอ้ประเทศแคนาดากล่าวว่าผู้ผลิตยาหลายบริษัทระบุผลข้างเคียงของยาหากรับประทานร่วมกับส้มโอบนฉลากยาแต่แพทย์จำนวนมากยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

เขากล่าวว่าจำเป็นต้องเผยแพร่ข้อมูลนี้ให้แพทย์รับรู้เพื่อให้สามารถแนะนำในการใช้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
ยารักษาโรคที่ได้รับผลกระทบจากน้ำส้มโอมักจะเป็นยารับประทาน คุณเดวิด เบลลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านยากล่าวว่าโดยปกติแล้วฤทธิืยาจะเข้าไปในกระแสเลือดเพียงเล็กน้อยหลังจากคนไข้กลืนยาลงไป แต่ระดับฤทธิ์ของยาจะเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายหากมีการรับประทานส้มโอหรือดื่มน้ำส้มโอตามลงไปหรือก่อนหน้าเนื่องจากเอนไซม์ CYP23A4 จากส้มโอจะไปทำปฏิกริยากับยาในกระเพาะอาหาร

คุณเบลลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านยากล่าวว่าปริมาณน้ำส้มโอที่ดื่มไม่ว่าจะมากเป็นลิตรๆหรือจะแค่แก้วเดียวก็ล้วนมีผลต่อฤทธิ์ของยาบางชนิดเช่นเดียวกัน ปฏิกริยาทางลบนี้อาจะทำใ้ห้เกิดอาการเลือดออกในลำใส้ การทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และเกิดการเสียชีวิตอย่างฉับพลัน อาการป่วยจากฤทธิ์ของยาที่ทวีคูณขึ้นอาจจะเกิดขึ้นหลังดื่มน้ำส้มโอไปนานแล้วก็ได้

คุณเบลลี่กล่าวว่าก่อนซื้อยา คุณควรสอบถามแพทย์ประจำตัวหรือเภสัชกรที่ร้ายขายยาเสียก่อนว่ายาที่จะซื้อนั้นสามารถรับประทานร่วมกับส้มโอหรือน้ำส้มโอได้หรือไม่

บทความเกี่ยวกับผลร้ายของยาหากรับประทานกับส้มโอโดยคุณเดวิด เบลลี่ผู้เชี่ยวชาญด้านยาแคนาดาและทีมงานวิจัยตีพิมพ์เมื่อเร็วๆนี้ในวารสาร Canadian Medical Association Journal

ที่มา : http://www.voathai.com/content/grapefruit-study-tk/1566222.html

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุดๆกับวันสบายๆ อารมณ์ดี


    

26 วิธีอารมณ์ดีตลอดกาล

ศิลปะ หางานอดิเรกเกี่ยวกับด้านศิลปะมาทำ เช่น การถ่ายภาพ วาดภาพ ร้องเพลง เต้นรำ เป็นต้น เพื่อให้ตัวท่านเองมีาจิตใจอ่อนโยน มีหัวใจศิลปิน อารมณ์ท่านก็จะดีตามไปด้วย การอาบน้ำ
การอาบน้ำด้วยน้ำเย็นจะช่วยให้ท่านสดชื่น มีชีวิตชีวา เพราะฉะนั้นในแต่ละวันควรให้ความสำคัญกับการอาบน้ำ เพราะจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวที่ทุกคนได้ผ่อนคลายที่สุดของแต่ละวันหลังจากทำงานมาเครียดๆ
มิตรสหาย ควรจะหาเพื่อนที่อารมณ์ดีมาเป็นคู่สนทนา เมื่อคุยกับเพื่อนคนนี้จะต้องมีเรื่องสนุกคุยกันจะเป็นการช่วยให้ท่านได้มีโอกาสผ่อนคลาย โดยอาจจะเป็นการโทรศัพท์ไปคุยกันก็ได้เพื่อให้มีความสนุก
เปิดเผย ท่านจะต้องไม่เป็นคนที่เก็บกดปัญหาต่างๆ จะต้องหาคนพูดคุย คนปรึกษา ถ้าปัญหาที่ท่านเผชิญอยู่เก็บไว้คนเดียวอารมณ์ของท่านจะหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา
รู้จักพอ ท่านจะต้องฝึกเป็นผู้มีความเพียงพอในเรื่องต่างๆ แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะได้จะเสียอะไร ตัวท่านจะต้องรู้จักตัวเองว่า ความพอดีของตัวท่านเองอยู่ที่ไหนแล้วอารมณ์ของท่านจะสดใส อย่าวิ่งตามกระแสสังคม
อาหาร ในแต่ละมื้ออาหารท่านควรจะรับประทานให้พออิ่ม อย่าให้มากหรือน้อยจนเกินไป และที่สำคัญ ควรรับประทานอาหารที่มีผักมากๆ เนื่องจากการย่อยจะง่าย ท้องไส้ไม่ปั่นป่วน ควรจะทานเนื้อให้น้อยๆ เน้นผลไม้ให้มาก ชีวิตระหว่างมื้ออาหารท่านก็จะสดใสไม่หงุดหงิด
การให้ ท่านจะต้องรู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากการให้ เช่นให้รอยยิ้ม ให้คำชม ให้การช่วยเหลือ ให้อาหาร มีความปรารถนาดีกับคนรอบข้าง แล้วท่านจะได้รู้ว่าวันที่ท่านมีโอกาสให้วันนั้นจะเป็นวันที่ท่านมีความสุขอย่างแท้จริง
บำบัดรักษา เมื่อเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบายใจ เช่นเป็นไข้ เป็นหวัด ก็ให้รีบรักษาเนื่องจากอาการเจ็บป่วยทางกายทำให้จิตใจไม่สดชื่นไปด้วย
ทำให้คนอื่นเกิดความประทับใจ เมื่อแรกพบท่านด้วยการแสดงความเป็นคนอารมณ์ดีแล้วคนอื่นจะจดจำท่านได้ดี มีคนคิดถึง
เรื่องขำขัน พยายามหาเรื่องที่ขำขันมาเล่าให้กันฟัง เพื่อสร้างความสดชื่นให้กับวงสนทนา แต่ต้องหลีกเลี่ยงการนำเรื่องความผิดพลาดของคนอื่นมาเล่าตลกกัน เพราะถ้าท่านโดนด้วยตัวเองคงจะอารมณ์ไม่ดี
ท่านต้องฝึกตัวเองเป็นฆาตกร เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่ากิเลสตัณหาในตัวของท่าน เมื่อฆ่าความไม่ดีไมงามทั้งหลายออกจากจิตใจ ชีวิตก็จะเป็นสุขสนุกสนาน
หัวเราะ การหาโอกาสหัวเราะให้ได้ในแต่ละวันจะเป็นกำไรชีวิต แถมอารมณ์ก็ดีด้วย ถ้าอยู่คนเดียวก็ลองนึกถึงเรื่องที่ท่านเคยขำ แล้วท่านจะหัวเราะ การหัวเราะแต่ละครั้งจะช่วยยืดอายุท่านได้ 12 นาที
ตื่นเช้า การตื่นเช้าต้อนรับวันใหม่จนเป็นนิสัยจะทำให้ท่านรู้สึกสบายใจเนื่องจากไม่ต้องเร่งรีบจนเกินไปในการเดินทางไปทำงาน ตลอดวันทำงานรับรองอารมณ์ท่านจะดีอย่างแน่นอน
ทางสายกลาง ท่านจะต้องพยายามทำตัวเองให้มีความพอดี มีความสมดุล ไม่วิ่งตามโลกตามกระแสสังคมมากเกินไป เมื่อสังคมภายนอกเปลี่ยนแปลงท่านก็จะอยู่ได้อย่างไม่เจ็บปวด
ผู้ชมหน้าเวที กำลังจ้องมองท่านอยู่ ให้สมมุติว่าตัวท่านเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ เป็นดาราระดับซูปเปอร์สตาร์ ทุกอย่างที่ท่านกำลังทำหรือจะทำคือการแสดง แล้วท่านจะมีอารมณ์ดีตลอดกาล
มองโลกในแง่บวก ความไม่ดี ความคิดเชิงลบเป็นตัวส่งเสริมความหงุดหงิดของอารมณ์ จงเลือกที่จะคิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ มองในมุมที่สบายใจ ใช้ความเป็นธรรมในการตัดสินปัญหา
จดข้อความที่น่าสนใจ มีข้อคิด กลอน คำกล่าว คติเตือนใจ หลายๆอันที่น่าสนใจและเมื่อได้เห็นได้อ่านแล้วสบายใจ ก็ให้จดไว้ใกล้โต๊ะทำงาน เมื่อท่านมองดูแล้วก็จะสบายใจ เช่น " คนอ่านน่ารัก "
อ่าน หาหนังสือที่ช่วยให้อารมณ์ขันมาอ่าน เช่นการ์ตูน ขำขัน นิยายตลก และอาจรวมไปถึงไปถึงการดู วีดีโอตลก ฟังเทปตลก เป็นต้น เหล่านี้สามารถสร้างอารมณ์ที่สดชื่นได้ตลอด
นอน อยากมีอารมณ์ดีจะต้องนอนให้เพียงพอถ้าท่านนอนน้อย วันต่อมาไปทำงานท่านจะรู้สึกว่าเฉื่อยๆ ไม่กระฉับกระเฉง ง่วงนอน คนเราจะต้องนอนวันละประมาณ 7-8 ชั่วโมง ระวังอย่านอนมากเกิน
คิดถึงคนที่เรารักเรื่องที่เราประทับใจ คิดถึงอนาคตของครอบครัวที่มีความสุข พ่อ แม่ ลูก การคิดถึงเรื่องที่มีความสุขจะทำให้ท่านอารมณ์ดีเพราะ " ความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิตของท่าน "
เข้าใจอะไรง่าย ฝึกเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ แล้วทำความเข้าใจ บางคนเป็นคนมีปัญหาชอบตั้งคำถามจนคนอื่นรำคาญใจ ตัวเองก็พลอยหงุดหงิดไปด้วย
วิตามิน ชนิดต่างๆ มีความสำคัญต่อนร่างกายเช่น วิตามิน อี มีผลต่อผิวหนัง วิตามินซีมีส่วนช่วยให้ฟันแข็งแรง ดังนั้น ถ้าร่างกายได้รับวิตามินชนิดต่างๆ ตามที่ร่างกายต้องการก็จะทำให้สุขภาพดี
ความปรารถนา ท่านจะต้องกำหนดให้เป็นพันธกิจของตัวเองเลยว่า "ข้าพเจ้าจะเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดกาล ไม่ว่าปัญหาใดๆ จะเข้ามาในชีวิตก็ตาม"
งดเว้น การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อุบัติเหตุ รายได้ของครอบครัว ทะเลาะวิวาท แถมบั่นทอนสุขภาพ ควรอยู่ให้ห่างของมึนเมา
ร้องออกมาเสียงดังๆ เมื่อท่านทำอะไรบางอย่างสำเร็จ เช่นทำงานโครงการที่ใช้เวลานาน แข่งกีฬาชนะ ขายสินค้าได้ แต่ก็ควรระวังก่อนจะร้องออกมาดูคนรอบข้างด้วย
การมีใจจดจ่อ ต่อเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านแต่ละอย่าง คิดอย่างรอบคอบเพื่อลดความผิดพลาด อันเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ที่ไม่ดี
ท้ายสุดทุกท่านถ้าทำได้ตามข้อแนะนำเบื้องต้นแล้ว อารมณ์ท่านก็จะดีตลอดกาล เริ่มตั้งแต่วันนี้ ขอฝากคำกลอนเป็นข้อคิดให้กับท่านผู้อ่านทุกท่าน

" ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยผิดพลาด
ต้องฉลาดเรียนรู้สู่ความหวัง
นำสิ่งนั้นมาเสริมเพิ่มพลัง
ทิ้งความหลังเพื่อชีวิตใหม่สดใสเทอญ "
http://kunkhong.blogspot.com/2008/08/26.html

กิจกรรมตัวอย่างสำหรับการออกกำลังกาย



การเล่นกีฬาแต่ละชนิดจะให้ผลต่อหัวใจเหมือนกันหรือไม่
การออกกำลังกายจะมีผลดีต่อปอด และหัวใจ คือการออกำลังกายที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง และมีความหนักพอควร ดังนั้นการเล่นกีฬา หรือการออกกำลังกายแต่ละชนิดจะมีผลต่อหัวใจ และปอดไม่เหมือนกัน ตารางข้างล่างเป็นการแสดงการออกกำลังกายที่มีผลต่อปอด และหัวใจ
ออกกำลังกายอย่างเบาLight-Intensity Activities ต้องใช้เวลาในการออกกำลังกาย 60 นาที
  • การเดินอย่างช้า
  • การเล่นกอลฟ์
  • การว่ายน้ำอย่างช้า
  • การทำสวน
  • การขี่จักรยานที่มีความต้านต่ำ
  • การกวาดบ้านหรือดูดฝุ่น
  • การทำกายบริหาร
  • Badminton
  • Baseball
  • Bowling
  • Football
  • Gardening
  • การทำงานบ้าน Housework
  • Ping-pong
  • Social Dancing
การออกกำลังกายปานกลาง Moderate-Intensity Activities: ใช้เวลาในการออกกำลังกาย 30-60 นาที

  • เดินอย่งเร็ว
  • การเล่นกอลฟ์โดยการแบกถุงกอลฟ์
  • การว่ายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  • การตัดหญ้า
  • การเล่นเทนนิสชนิดคู่
  • ขี่จักรยาน 5-9 ไมล์
  • การขัดพื้นหรือล้างหน้าต่าง
  • การยกน้ำหนัก
  • Basketball
  • Handball
  • Soccer
  • Squash
  • Tennis 
  • Volleyball
  • Walking Moderately
การออกกำลังกายอย่างหนัก Vigorous-Intensity Activities: ใช้เวลาในการออกกำลังกาย 20-30 นาที
  • การวิ่งแข่ง การวิ่งจ็อกกิ่ง
  • การว่ายน้ำแข่ง
  • การตัดหญ้าโดยใช้มือ
  • การเล่น Tennis เดี่ยว
  • การขี่จักรยานขึ้นเขาหรือขี่มากกว่า 10 ไมล์
  • การเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์
  • การบริหารใน ฟิตเนส
  • Aerobic Dancing
  • Bicycling
  • Jogging
  • Jumping Rope
  • Running in Place
  • Stair-climbing
  • Stationary Cycling
  • Swimming
  • Walking Briskly
เนื่องจากการออกกำลังกายแต่ละชนิดมีความหนักหรือการใช้ออกซิเจนไม่เท่ากัน ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้จึงต้องแต่ต่างกัน กิจกรรมที่เบาหรือปานกลางต้องใช้เวลามากกว่ากิจกรรมที่หนัก โดยทั่วไปมีหลักดังนี้
  • การออกกกำลังกายอย่างเบาควรจะใช้เวลาในการออกกำลังประมาณ 60 นาที
  • การออกกกำลังกายชนิดปานกลางใช้เวลาในการอออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาที
  • การออกกกำลังกายชนิดหนักใช้เวลาในการอออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที

“ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค”


โครงการ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” ภายใต้ “โครงการขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อลดการบริโภคเกลือ (โซเดียม) ในประเทศไทย” ซึ่งเป็นความร่วมมือของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย, สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์, กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสชาติเค็ม โดยเน้นรณรงค์ลดการบริโภคเค็มลงครึ่งหนึ่งก่อน เพื่อลดความเสี่ยงป่วยด้วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังข้างต้นซึ่งล้วนเป็นโรคที่ต้องใช้งบประมาณในการรักษาพยาบาลสูง
โครงการได้เข้าร่วมงาน Thailand Medical Expo 2012 ในระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-2 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การแสดงสินค้าไบเทค บางนา ซึ่งภายในงานมีการออกบู๊ทจากคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ โรงพยาบาลชั้นนำ ราชวิทยาลัยต่างๆในการดูแลของแพทยสมาคม ซึ่งโครงการฯได้เป็นตัวแทนของ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ออกบู๊ทแสดงตัวอาหารที่นิยมบริโภคทั่วไปพร้อมทั้งแสดงปริมาณเกลือที่เป็นส่วนผสมของอาหารเหล่านั้น และยังมีการให้ความรู้แก่ประชาชนที่สนใจ โดยนักกำหนดอาหารและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีการเล่นเกมแจกของรางวัล ซึ่งบู๊ทของโครงการฯเป็นที่สนใจของทั้งนักเรียนนักศึกษา แพทย์ และประชาชนผู้เข้าร่วมงาน

ในวันที่ 2 ต.ค. 2555 โครงการฯได้รับเกียรติจาก อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหาร มาสาธิตการประกอบอาหารลดเค็มได้แก่ ผักม้วน 5 สีน้ำแดง ซึ่งได้รับความสนใจจากคนในงานเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีการแจกอาหารให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชิมกันอย่างถ้วนหน้า และในช่วงบ่าย มีการเสวนาเรื่อง “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” โดย นายแพทย์สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานโครงการฯ แพทย์หญิงวีรนุช รอบสันติสุข สาขาโรคความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราช และนักกำหนดอาหาร โดยได้รับเกียรติจาก ทญ.กิตติลักษณ์ จุลลัษเฐียร (จุ้มจิ้ม AF1) ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดียิ่ง
ที่มา : เครือข่ายลดบริโภคเค็ม  http://www.thaihealth.or.th/node/31513

พบคนไทยกินเค็มเกินต้องการ 2 เท่า เร่งรณรงค์ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค


          ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ จับมือ สธ.-สสส. และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เร่งรณรงค์ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” พบคนไทยกินเค็มเกินต้องการ 2 เท่า ได้รับเกลือไม่รู้ตัว เหตุกินข้าวนอกบ้าน ชอบเติมเครื่องปรุงกลายเป็นภัยเงียบ เสี่ยงเป็นความดัน หัวใจ โรคไต อัมพฤกษ์ อัมพาต แนะกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เร่งให้ความรู้ ประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

          นพ.โสภณ  เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคเรื้อรังถือเป็นปัญหาสาธารณสุขใหญ่ของไทย พบว่า คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูง คิดเป็นร้อยละ 21.4 หรือ11.5 ล้านคน โรคไต ร้อยละ 17.5 หรือ 7.6 ล้านคน โรคหัวใจขาดเลือด ร้อยละ 1.4 หรือ 0.75 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ร้อยละ 1.1 หรือ 0.5 ล้านคน โรคกลุ่มนี้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง อาหารรสชาติเค็ม เป็นอาหารที่มีเกลือ หรือ โซเดียมสูง ถือเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง จึงแนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกินวันละ 5 กรัม ถ้าเทียบเป็นปริมาณโซเดียมก็ไม่ควรเกิน วันละ 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณดังกล่าวเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา
          “จากการสำรวจพบว่า คนไทยบริโภค เกลือ และโซเดียมสูงกว่าเกินที่แนะนำ 2 เท่า หรือ 10.8 กรัม หรือ 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน การรับประทานอาหารรสเค็มจัด จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และยังมีผลเสียต่อไตโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักก่อให้เกิดภาวะหัวใจวาย และความดันโลหิตสูง ความดันในสมองเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย (2550-2559) โดยกำหนดเป้าหมายหลักในการพัฒนาลดปัญหาโรควิถีชีวิต ที่สำคัญ 5 โรค (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง มะเร็ง)” นพ.โสภณกล่าว
           ศ.นพ.เกรียง  ตั้งสง่า ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ และเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสม จะช่วยลดภาระโรค รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้จัดโครงการ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” ภายใต้ “โครงการขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อลดการบริโภคเกลือ (โซเดียม) ในประเทศไทย” ซึ่งเป็นความร่วมมือของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย,สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์, กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสชาติเค็ม
          ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารมื้อหลักของคนไทย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70) ซื้ออาหารกลางวันนอกบ้าน ประเภทอาหารที่ทานบ่อยคือ ข้าวราดแกง อาหารจานเดียว/อาหารตามสั่ง และก๋วยเตี๋ยว ที่สำคัญพบว่าประชากรมีพฤติกรรมการปรุงเพิ่ม โดยเติมเครื่องปรุงรสเป็นนิสัย คนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหารในแต่ละมื้อโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมักอยู่ในอาหารแปรรูป โดยเฉพาะจากเครื่องปรุงรสซึ่งนิยมใช้มาก 5 ลำดับแรก คือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เกลือ กะปิ และซอสหอยนางรม เมื่อเทียบจะพบว่าเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 6,000 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,160-1,420 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 960-1420 มิลลิกรัม ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะมีปริมาณโซเดียม 1,150 มิลลิกรัม กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,430-1,490 มิลลิกรัม ซอสหอยนางรม1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 420-490 มิลลิกรัม
        ผศ.นพ.สุรศักดิ์  กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าอาหารถุงปรุงสำเร็จ มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยต่อถุง 815-3,527 มิลลิกรัม อาทิ ไข่พะโล้  แกงไตปลา คั่วกลิ้ง ฯลฯ ส่วนอาหารจานเดียว มีปริมาณโซเดียม 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อหนึ่งจาน อาทิ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และข้าวคลุกกะปิ ฯลฯ ทั้งนี้การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดเค็ม ทำได้ง่ายๆ คือ 1.หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ และผงชูรส 2.หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงในอาหารจานเดียว 3.หลีกเลี่ยงอาหารประเภทดองเค็ม อาหารแปรรูป 4.เลือกรับประทานอาหารที่มีหลายรสชาติ เช่น แกงส้ม ต้มยำ เพื่อทดแทนรสชาติเค็ม 5.น้ำซุปต่างๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ควรรับประทานแต่น้อยหรือเทน้ำซุปออกบางส่วนแล้วเติมน้ำเพื่อเจือจางลง และ6.สังเกตปริมาณโซเดียมที่ฉลากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหารสำเร็จรูป และขนมถุง ก่อนรับประทาน
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข  http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news_thaihealth/31089

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หอมหัวใหญ่ พืชมหัศจรรย์ เป็นทั้งอาหาร และยาอายุวัฒนะ


  • หอมหัวใหญ่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารประกอบที่จำเป็นต่อร่างกายคนเรากว่า 300 ชนิด เช่น 
    แคลเซียม (สังเคราะห์เอนไซม์ T-cells เอนไซม์ที่ช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำงานเพื่อย่อยสลายไวรัส) แมกนีเซียม (ที่มีส่วนช่วยในการทำลายเซล์มะเร็งและกำจัดไวรัส) กำมะถัน (ช่วยเอนไซม์ตับขับสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง) เควอซิทินฟลาโวนอยด์ (กระตุ้นอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ขับสารพิษ ป้องกันหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน) ไซโคลอัลลิลิน (ช่วยในการลดโคเลสเตอรอลและความดันเลือด) สารฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ (ที่ช่วยป้องกันไขมันไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด) สารอัลลิลิกไดซัลไฟด์ (ช่วยในการขับปัสสาวะและเสมหะ)
    Onion rich with minerals and compounds that the body needs more than 300 types of people such as calcium (synthetic enzyme T-cells enzyme that helps white blood cell in working to end sub, viruses), magnesium (which helps to make a cancer virus and se). Sulfur (helps drive the liver toxic enzyme more effectively and reduce the risk of cancer recurrence). Khwoe-la thinof mater (volume trigger to prevent radical killed bacteria and viruses, inflammation drive toxic. Protect the rear brain artery clogged). Cole, Marilyn-recycle (to help reduce a blood pressure meter Leste onlae). Communication range of aminoglycoside cavity volume (that is, fat helps prevent blood vessel wall by Ko) News of Al-the kadai sulfide (diuretic and helps the lungs). (Translated by Bing)

    หอมหัวใหญ่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารประกอบที่จำเป็นต่อร่างกายคนเรากว่า 300 ชนิด เช่น 
แคลเซียม (สังเคราะห์เอนไซม์ T-cells เอนไซม์ที่ช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำงานเพื่อย่อยสลายไวรัส) แมกนีเซียม (ที่มีส่วนช่วยในการทำลายเซล์มะเร็งและกำจัดไวรัส) กำมะถัน (ช่วยเอนไซม์ตับขับสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง) เควอซิทินฟลาโวนอยด์ (กระตุ้นอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ขับสารพิษ ป้องกันหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน) ไซโคลอัลลิลิน (ช่วยในการลดโคเลสเตอรอลและความดันเลือด) สารฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ (ที่ช่วยป้องกันไขมันไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด) สารอัลลิลิกไดซัลไฟด์ (ช่วยในการขับปัสสาวะและเสมหะ)
    •     สนับสนุนโดย คูเน่ ผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่ เพื่อสุขภาพ 

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แบ่งปันเติมเต็ม ความสุขเล็กๆ ด้วยมื้อสุขภาพ





Kuu Ne คูเน่ ผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพโซเดียมต่ำ ใช้ปรุงอาหาร หรือใช้ชงดื่มบำรุงสุขภาพ
   
      ความสุขที่เลือกเอง  

        สุขภาพกาย ใจ จิต บริโภคปลอดสารพิษ ชีวิตก็สุขพอ


        

                               
ผลิตภัณฑ์เรา
แบ่งปันเติมเต็ม ความสุขเล็กๆ ด้วยมื้อสุขภาพ     ผ่านการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์อาหาร ได้รับเครื่องหมาย GMP  อย. ฮาลาล โซเดียมต่ำสุดในตลาด  ปรุงอาหาร 1 ช้อนชาต่อจาน หรือต่อชาม ถ้าชงดื่มเพียงปลายช้อนชาต่อน้ำอุ่น 1 แก้ว  ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ด้วยนวัตกรรม Kuu Ne  คูเน่ ผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่    คูเน่... คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ
สนับสนุนโดย บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด โทร. 0 2956 6118  โทรสาร 0 2956 6117  www.ptpfoods.com, www.facebook.com/kuunepage      มือถือ  086-791 7007  คมชาญ
New Kuu Ne คูเน่ ... เปิดตัวน้องใหม่ Low sodium ต่ำสุดในท้องตลาดเครื่องปรุงรส โดยเฉลี่ยค่าโซเดียมทั่วไปอยู่ที่ 1,500 - 2,850 มิลิกรัม % ต่อ 1 หน่วยบริโภค  คูเน่ใหม่ ซองสีขาวขอบน้ำตาล  มีค่าโซเดียม < 710 มิลิกรัม % ต่อ 1 หน่วยบริโภค  www.ptpfoods.com, www.facebook.com/kuune

New Kuu Ne คูเน่ ...   เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Low sodium ต่ำสุดในท้องตลาดเครื่องปรุงรส มีประโยชน์ 2 in 1 ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มบำรุงสุขภาพ โดยเฉลี่ยค่าโซเดียมทั่วไปอยู่ที่ 1,500 - 2,850 มิลิกรัม % ต่อ 1 หน่วยบริโภค   คูเน่ใหม่ ซองสีขาวขอบน้ำตาล มีค่าโซเดียมต่ำ < 710 มิลิกรัม % ต่อ 1 หน่วยบริโภค 


วันนี้คุณหยุดสารเคมีเข้าสู่ร่างกายโดยตรงหรือยัง

แนะนำ บอกต่อ คุณค่าเพื่อสุขภาพที่ดี คูเน่ ... ใช้ปรุงอาหาร แกง ต้ม ผัด หมัก ทอด ยำ หรือชงดื่มบางๆ เป็นหอมชงปานะ ดีกับสุขภาพ 

คูเน่ ผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่ เพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัย ม.เกษตร ได้รับการยอมรับจากครัวของ รพ. และยังเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชงดื่มเป็นน้ำปานะในสถานปฏิบัติธรรมด้วย ... คูเน่ ฉลาดบริโภค ปราศจากเนื้อสัตว์ ปลอดสารเคมี ดีต่อสุขภาพ


พูดถึงสารเคมีในชีวิตประจำวัน เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจากการสัมผัส สูดดม ซิมซับทางผิวหนัง รวมถึงการดื่มกิน ... ภายนอกป้องกันได้ด้วยการออกห่างสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ภายใน การบริโภคสารเคมีเข้าสู่ร่างกายโดยตรง บางส่วนขับ...
ถ่ายออกไป แล้วที่เหลือส่วนเกินขับถ่ายไม่หมดก็ต้องตกค้างอยู่ที่ ไต และส่วนอื่นๆของร่ายกายกระทั้ง ป่วยเจ็บไข้อย่างทุกข์ทรมาน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่หายใจรวยระรินอยู่กับที่ เรามาฉุกคิดสุขภาพดีด้วย 3 อ. อออกำลังกาย อารมณ์ และอาหาร ที่ดีมีประโยชน์ ปลอดสารเคมี เพื่อสุขภาพดี อายุยืนยาว ... หนึ่งในธรรมทาน คูเน่ ... โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว 

สนใจติดต่อ คมชาญ 086-791 7007  
www.facebook.com/kuunepage


'Kuu Ne' คูเน่ ปรุงรสอร่อย เสริมสุขภาพดี
    ในอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสนับเป็นเซกเมนต์หนึ่งที่มีการแข่งขันกันสูงมาก เห็นได้จากผงปรุงรสแบรนด์ต่างๆ ที่วางจำหน่ายอยู่มากกว่า 100 แบรนด์ในท้องตลาด ซึ่งนอกจากรายใหญ่ๆ ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดแล้ว ก็ยังมีแบรนด์เล็กๆ จำนวนมากที่ต้องสร้างความแตกต่างและงัดเอาจุดเด่นของผลิตภัณฑ์มาประชันเพื่อ


ดึงดูดผู้บริโภค ซึ่งแบรนด์ คูเน่ผลิตภัณฑ์ปรุงรสแบรนด์หนึ่งที่มีจุดเด่นไม่เหมือนใคร คือปลอดสารเคมี และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ 100%  การันตีได้จากรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประจำปี 2556 และผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายในการแข่งขัน True Innovation Awards The New Era 2014  แบรนด์นั้นก็คือ "Kuu Ne" คูเน่นั่นเอง
    โดย #คมชาญ เอกเตชวุฒิ   กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด  #ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสจากหัวหอมแบรนด์ "Kuu Ne" คูเน่ เล่าย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่า  เนื่องจากกระแสการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นในปัจจุบัน ประกอบกับได้มีโอกาสเห็นงานวิจัยผงปรุงรส จากหอมหัวใหญ่ของภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 จากการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร (Food Innovation Contest) สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหารแห่งประเทศไทยประจำปี 2552 จึงมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจด้วย การนำงานวิจัยมาต่อยอดเพื่อผลิตและวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ   พร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (มหาชน) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการส่งออก รวมถึงยังได้รับเครื่องหมายรับรอง GMP, อย. และฮาลาล   และหวังให้  "Kuu Ne" คูเน่ #เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการปรุงรสอาหาร ทั้งการต้มน้ำซุป ผัด แกง หมัก ยำ รวมถึงของทอดต่างๆ
    คมชาญ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่เลือกใช้หอมหัวใหญ่เป็นวัตถุดิบนั้น เนื่องจากมีคุณสมบัติ #เป็นทั้งอาหารและยาอายุวัฒนะ #อุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซีลีเนียม เบตาแคโรทีน กรดโฟลิก และฟลาโวนอยด์เควอเซทิน #มีคุณประโยชน์มากมายทั้งลดคอเลสเทอรอลและความดันเลือด #ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด #ลดอาการภูมิแพ้และหอบหืด ขณะที่แมกนีเซียม เป็นธาตุที่มีความสำคัญในการสร้างคอมพลีเมนต์ #มีความสำคัญในการทำลายเซลล์มะเร็งและกำจัดไวรัส นอกจากนี้ในหอมหัวใหญ่ยังมีอินนูลิน ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก #ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ  #การแปรรูปหอมหัวใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ปรุงรส ยังเป็นการสนับสนุนภาคการเกษตรอีกด้วย เพราะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและยังเป็น #ผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ปลอดสารเคมี ถือเป็น #ทางเลือกใหม่สำหรับผู้บริโภคยุคนี้ที่รักและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อวางจำหน่ายเมื่อปี 2553 มีการปรับปรุงและพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา ล่าสุด "Kuu Ne" คูเน่ สามารถ #พัฒนาต่อยอดเป็นผงปรุงครบรสแบบ2in1 ที่ #สามารถใช้ในการปรุงรสอาหารและใช้ชงดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพได้อีกด้วย
    เมื่อถามถึงจุดเด่นของ #KuuNe #คูเน่ เขามองว่า #ผงปรุงรสจากหอมหัวใหญ่มีจุดเด่นเรื่องสรรพคุณมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย โดยวิธีการผลิตที่ปลอดเชื้อโรคและความชื้น ใช้เทคโนโลยีเครื่องอบแห้งลมร้อน ควบคุมอุณหภูมิและระยะเวลา จึงยังคงคุณค่าและประโยชน์สูงสุดของหอมหัวใหญ่  ดังนั้น "Kuu Ne" #จึงมีความเข้มข้นสูงกว่าผลิตภัณฑ์ปรุงรสทั่วไปในตลาดมากถึง3เท่า และยังใช้งานง่าย สะดวก #ไม่ต้องไปต้มหรือเคี่ยวน้ำซุปให้เสียเวลา
 4803   สำหรับแผนการประชาสัมพันธ์ คมชาญบอกว่าใช้วิธีทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ รวมถึงทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมด้วยในทุก ๆ ครั้งที่มีโอกาสเพราะต้องการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง เช่น ออกบูธตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมการประกวดในโครงการต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ #กลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ #ผู้บริโภคที่ทานมังสวิรัติ #กลุ่มผู้บริโภคอาหารฮาลาล เป็นต้น ส่วนช่องทางจำหน่าย ในปัจจุบัน "Kuu Ne" คูเน่ #มีจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ซูเปอร์มาเก็ตและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิเช่น  Central Food Hall,Tops Market, Lemon Farm, Golden Place, The Mall ทุกสาขา, Home Fresh Mart, Siam Paragon, The Emporium และร้านค้า #ผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพทั่วไป นอกจากนี้ยัง #ได้รับการคัดเลือกจากโภชนากรให้ใช้เป็นวัตถุดิบเครื่องปรุงรสในครัวของโรงพยาบาล ซึ่งกำลังเตรียมแผนขยายไปยังตลาดต่างประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
    ผู้สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/KuuNePage และwww.ptpfoods.com

■ คอลัมน์ : SMEs News / ■ ฐกร ภูวสุวรรณ์
■ จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ AEC world ปีที่ 34 (2) ฉบับที่ 2,963 (68) วันที่ 6 - 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยยืดอายุ


การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้อายุยืนขึ้นเกือบห้าปี



  • การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้อายุยืนขึ้นเกือบห้าปี
Jessica Berman
การศึกษาชิ้นนี้ดูความเกี่ยวข้องระหว่างการออกกำลังกายกับสุขภาพของประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งหมด 650 คน การศึกษาพบว่าคนที่ออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬายามว่างเป็นประจำ แม้แต่ในคนที่เป็นโรคอ้วน จะมีชีวิตยืนกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลยโดยเฉลี่ยถึง 4 ปีครึ่ง

การศึกษานี้จัดทำโดยทีมนักวิจัยที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (U.S. National Cancer Institute) หรือ NCI โดยประมวลจากข้อมูลจากการวิจัยก่อนหน้านี้ 6 ชิ้น เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชากรวัยผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 40 ปีถึง 90 ปี โดยมีจุดประสงค์เพื่อค้นหาปัจจััยเสี่ยงต่างๆที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

คุณสตีเว่น มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งแห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่ามีเหตุผลหลายประการที่อธิบายได้ว่าทำไมการออกกำลังกายเป็นประจำจึงทำให้คนอายุยืนขึ้น

คุณ มัวร์ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการออกกำลังกายเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ลดระดับความดันโลหิตสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระเเสเลือด นอกจากนี้ยังเสริมการทำงานของปอด เขาเห็นว่าการออกกำลังกายมีผลดีโดยรวมต่อร่างกายและสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกาย โดยจะเห็นผลชัดขึ้นเมื่อมองดูที่ระดับอายุขัย

รัฐบาลสหรัฐแนะนำให้คนในวัยผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีจนถึง 64 ปี ออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงครึ่งหากเป็นการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงในระดับปานกลาง และ 1 ชั่วโมง 15 นาทีหากเป็นการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงในระดับเข้มข้น ตัวอย่างการออกกำลังกายเหล่านี้ ได้แก่ การเดินเล่นสบายๆ จนถึงการวิ่งและการปั่นจักรยาน

ทีมนักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังกายได้ตามข้อแนะนำนี้มีอายุยืนกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลยถึง 3 ปี 4 เดือน ส่วนคนที่ออกกำลังกายได้มากกว่านั้น 2 เท่าจะมีชีวิตยืนขึ้นราว 4 ปีกับ 2 เดือน

คุณมัวร์ ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าทีมนักวิจัยพบว่าการออกกำลังกายที่ออกแรงในระดับปกติเทียบเท่ากับการเดินนาน 10 นาทีต่อวัน ช่วยให้อายุยืนขึ้นถึง 2 ปี

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากต้องการได้รับประโยชน์สุงสุดจากการออกกำลังกาย คุณต้องออกกำลังกายให้เทียบได้เท่ากับการเดินนาน 45 นาทีหรือมากกว่านั้นต่อวัน จากการศึกษาพบว่าหากทำได้เช่นนั้น คุณจะมีชีวิตยืนขึ้น 4 ปีครึ่งทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยพบว่าชีวิตคนเราจะไม่ยืนมากไปกว่านี้ แม้ว่าจะออกกำลังกายเกิน 45 นาทีต่อวันก็ตาม ดังนั้นไม่ควรจะหักโหม หากออกกำลังกายได้ในระดับ 10 นาทีถึง 45 นาทีต่อวันก็ถือว่ามีประโยชน์เพียงพอแล้ว

ที่มา : http://www.voathai.com/content/exercise-and-longevity-tk/1551470.html

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับโซเดียม “ ฆาตกรเงียบ ”





เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับโซเดียม

โซเดียมก็คือเกลือแร่ที่ก่อให้เกิดรสเค็มในอาหารนั่นเอง

หน้าที่ของโซเดียมในร่างกายคือช่วยรักษาดุลของของเหลวในร่างกาย ช่วยให้การส่งกระแสไฟฟ้าไปตามเส้นประสาทเป็นไปอย่างปกติ ช่วยการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
ไตเป็นผู้ควบคุมระดับของโซเดียมในร่างกาย ถ้าโซเดียมในร่างกายเหลือน้อย ไตก็จะสงวนโซเดียมโดยดูดกลับมาจากน้ำปัสสาวะ ถ้าโซเดียมมีมากไตก็ขับทิ้งออกไปทางน้ำปัสสาวะ ถ้าไตขับโซเดียมออกได้ไม่หมด โซเดียมก็จะคั่งในร่างกาย มันจะดึงน้ำไว้ในร่างกาย ทำให้มีปริมาณของเหลวไหลเวียนในร่างกายมาก ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายปรับตัวหนาและแข็งขึ้น ทำให้อวัยวะสำคัญที่หลอดเลือดไปเลี้ยง เช่น หัวใจ สมอง ไต เสียการทำงาน โรคความดันเลือดสูงจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “ ฆาตกรเงียบ ” อวัยวะที่ตกเป็นเป้าของภาวะความดันเลือดสูงมากที่สุดนอกจากหัวใจและสมองก็คือไต หากเป็นความดันเลือดสูงเมื่อใด ก็จองตั๋วโรคไตเรื้อรังไว้ล่วงหน้าได้เลย ด้วยเหตุนี้โซเดียมจึงกลายเป็นตัวอันตรายในอาหาร หากบริโภคอย่างไม่ระมัดระวัง
คนบางคนร่างกายไวต่อโซเดียม หมายความว่ามีแนวโน้มจะมีโซเดียมคั่งง่าย คนพวกนี้มักจะมีความดันเลือดสูง ถ้าเป็นคนอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีโรคไต หรือโรคหัวใจ หรือโรคเบาหวานอยู่ ร่างกายยิ่งไวต่อโซเดียม
สถาบันใหญ่แนะนำว่าร่างกาย (ฝรั่ง) ปกติต้องการเกลือโซเดียมไม่เกินวันละ 1.5 – 2.4 กรัม หรือไม่เกินครึ่งช้อนชา ที่ต้องกำหนดตัวเลขว่า “ ไม่เกิน ” ก็เพราะโซเดียมนี้ยิ่งได้น้อยยิ่งดี สำหรับอาหารไทย ถ้าจะให้ได้เกลือน้อยกว่าวันละ 2.4 กรัมนี้ก็คือกินต้องอาหารที่ “ จืดสนิท ” เลยทีเดียว เพราะการวิจัยอาหารไทยพบว่าคนไทยเฉลี่ยบริโภคโซเดียมจากอาหารวันละประมาณ 7 กรัม
ข้อมูลทางการแพทย์ปัจจุบันสรุปได้แน่ชัดแล้วผู้คนทั่วไปมักจะบริโภคโซเดียมเกินขนาดจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การสำรวจที่มาของโซเดียมในอาหารอเมริกันพบว่า 5% มาจากการเติมขณะทำครัว 6% เติมกันที่โต๊ะขณะกินอาหาร 12% มากับอาหารตามธรรมชาติ 77% มาจากการถนอมอาหารและจากอาหารสำเร็จรูป
อาหารอะไรบ้างที่มีโซเดียมสูง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างอาหาร ธรรมชาติด้วยกัน พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่นเนื้อ หมู ไก่ จะมีโซเดียมสูง ส่วนผลไม้ทุกชนิด ผัก ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง และเนื้อปลา จะมีโซเดียมต่ำ
ถ้าเป็นอาหารแปรรูปหรืออาหารที่ได้มาจากกรรมวิธีเก็บถนอม เช่น อาหารกระป๋องทุกชนิด อาหารหมักดอง อาหารเค็ม อาหารตากแห้ง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง ผลไม้ดอง เหล่านี้จะมีระดับโซเดียมสูงมาก
ถ้าเป็นเครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ เช่น เกลือ ทั้งเกลือเม็ดและเกลือป่น น้ำปลา ซอสปรุงรส เช่น ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว น้ำบูดู กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เต้าหู้ยี้ รวมทั้งซอสหอยนางรม พวกนี้จะมีโซเดียมสูง ส่วนซอสปรุงรสที่ไม่มีรสเค็มหรือเค็มน้อยเช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มต่างๆ ที่มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ซอสเหล่านี้แม้จะมีโซเดียมปริมาณไม่มากเท่าน้ำปลา แต่ก็มีอยู่พอสมควร ต้องระวังไม่กินมากเกินไป
ถ้าเป็นผงชูรส แม้เป็นสารปรุงรสที่ไม่มีรสเค็ม แต่ก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่โดยตรง เพราะชื่อจริงของมันในทางเคมีคือโซเดียมกลูตาเมท และเป็นที่รู้กันว่าอาหารสำเร็จรูปต่างๆ ที่ขายในท้องตลาด มักมีการเติมผงชูรสลงไปแทบทั้งสิ้น
ถ้าเป็นอาหารกระป๋องต่างๆ เช่น ผลไม้กระป๋อง ปลากระป๋อง และอาหารซองสำเร็จรูปต่างๆ ขนมกรุบกรอบ เป็นถุง เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีการเติมเกลือหรือสารกันบูด ซึ่งมีโซเดียมในปริมาณที่สูงมาก
ถ้าเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปต่างๆ ทั้งชนิดก้อนและชนิดซอง ขนมต่างๆ ที่มีการเติมผงฟู เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แพนเค้ก ขนมปัง ซึ่งผงฟูที่ใช้ในการทำขนมเหล่านี้มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ (โซเดียมไบคาร์บอเนต) รวมถึงแป้งสำเร็จรูปที่ใช้ทำขนมเองก็มีโซเดียมอยู่ด้วย
เครื่องดื่มเกลือแร่ มีการเติมสารประกอบของโซเดียมลงไปด้วย เพราะมีจุดประสงค์ให้เป็นเครื่องดื่ม สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่สูญเสียเหงื่อมาก ส่วนน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ก็มักมีการเติมสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) ลงไปด้วย ทำให้น้ำผลไม้เหล่านี้ มีโซเดียมสูง วิธีหลีกเลี่ยงคือดื่มน้ำผลไม้สดจะดีกว่า

วิธีที่จะลดโซเดียมเพื่อสุขภาพให้ได้ผล คือ

•  ฉลาดในการเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูป โดยอ่านปริมาณโซเดียมจากฉลากซึ่งกฎหมายบังคับให้แสดงไว้อยู่แล้ว ควรเลือกอาหารโซเดียมต่ำไว้ก่อน โดยทั่วไปฉลากอาหาร มักระบุปริมาณเกลือในรูปปริมาณโซเดียม วิธีเทียบหาปริมาณเกลือคือเอาตัวเลขปริมาณโซเดียมคูณด้วย 2.5 ในกรณีที่ฉลากบอกปริมาณเป็นมิลลิกรัม การเปลียนเป็นกรัมให้หารด้วย 1,000
•  กินอาหารสดเป็นหลักดีกว่ากินอาหารสำเร็จรูป ผักและผลไม้ธรรมชาติมีโซเดียมต่ำมาก เนื้อหมูตามธรรมชาติก็มีโซเดียมต่ำกว่าหมูแฮม เบคอน หรือไส้กรอก น้ำผลไม้สดมีโซเดียมต่ำกว่าน้ำผลไม้บรรจุกล่อง
•  สร้างสรรค์สูตรอาหารใหม่ที่ลดเกลือลงจากทุกสูตรการปรุงถ้าทำได้
•  จำกัดน้ำปลาพริก หรือเครื่องปรุงบนโต๊ะเช่นน้ำสลัด ซอส ซึ่งทั้งหมดมีเกลือเป็นส่วนประกอบหลัก
•  ปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศแทนเกลือหรือน้ำปลา
•  เมื่อใช้เกลือทดแทน ( salt substitute) อย่าเข้าใจว่าไม่มีเกลือโซเดียมในนั้นเลย เพราะมันประกอบด้วยเกลือโซเดียมจริงส่วนหนึ่งกับสารอื่นอีกส่วนหนึ่ง หากใช้จำนวนมากๆก็จะได้เกลือโซเดียมมากได้เช่นกัน
ความคุ้นเคย หรือการติดรสเค็มเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดการบริโภคโซเดียม แต่การชอบรสใดเป็นสิ่งที่คนเรามาเรียนรู้เอาตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่กรรมพันธุ์หรือเป็นสิ่งติดตัวมาแต่กำเนิด การสร้างนิสัยใหม่ให้ตัวเองเป็นนักนิยมอาหารจืดจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อค่อยๆลดเกลือจากอาหารลง ต่อมรับรสที่ลิ้นก็จะค่อยๆปรับตัวตาม การศึกษาผู้เปลี่ยนพฤติกรรมการลดการบริโภคโซเดียมพบว่าหลังจากเลิกอาหารเค็มได้ไม่กี่สัปดาห์ก็จะกินอาหารจืดได้โดยไม่ต้องโหยหารสเค็มอีกเลย และสิ่งที่จะได้มาแทนคือรสชาติที่แท้จริงของอาหารโดยไม่มีรสเค็มเข้ามากลบเกลื่อน
มาเลิกกินอาหารเค็ม และเลิกวางน้ำปลาพริกไว้บนโต๊ะอาหารกันเถอะ

นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์

ที่มา :  http://www.health.co.th/HealthEducationArticle3/AboutSodium.html 

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ 7 ประการ


ปัจจัยแห่งความสำเร็จ 7 ประการ


นอกเหนือจากเรื่องทรัพย์สินเงินทอง - เงินลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละปัจเจกบุคคลแล้ว ศักยภาพที่มีความสำคัญและเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จของการประกอบธุรกิจ SMEs ที่ทุกคนควรมี คือ

1.ความมุ่งมั่น (Drive)ในชิวิตจริงแล้วการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Personal Mastery) เป็นหัวใจสำคัญ)ประการแรกที่ทุกคนต้องประพฤติปฎิบัติ เมื่อมีความเพียรอยู่ที่ไหน ความสสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ผุ้ประกอบธุรกิจทุกคนควรพึงจดจำไว้เสมอว่า"ไม่มีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ใดๆ ที่จะได้มาจากความเพียรพยายามเพียงน้อยนิด"

2.ภูมิปัญญา (Knowledge/Wisdom)ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความสามารถ ทักษะ ทั้งทางด้านเทคนิคและด้านการบริหาร ที่ต้องมีอย่างครบครัน

3.การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)เพื่อเพิ่มพูนภูมิพลังแห่งปัญญาอยู่ตลอดเวลา อันจะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจอย่างมากมายมหาศาล

4.ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Personal Creativity) อันเนื่องมาจากรูปแบบวิธีคิด (Mental Ability) ที่จะก่อให้เกิดมุมมองแปลกๆ ใหม่ๆ(New Paradigm) ที่แตกต่างไปจากผู้อื่น ไม่ติดยึด ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ สามารถที่จะแสวงหาโอกาส (Opportunity Seeking) เพื่อนำมาบริหารและพัฒนาให้เกิดเนคุณค่าแก่ธุรกิจของตน ทั้งในด้านของการปรับปรุงระบบงานทั่วไป ระบบการผลิต ระบบการตลาด และระบบการบริการลูกค้า ตลอดจนระบบการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์

5.มนุษยสัมพันธืและทักษะการสื่อาร (Human Relations & Communicctions Ability) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับการติดต่อสื่อสาร ให้บริการแก่ลูกค้าและบริหารีมงนขนาดเล็ก ให้มีความมุ่งมั่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความเข้าใจในทิศทาง กลยุทธ์ และ วิธีปฎิบัติ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างสอดคล้องกัน โดยพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการที่จะเป็นทั้งเจ้าของกิจการ และผู้จัดการในเวลาเดียวกันนั้น ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมี เชาว์อารมณ์ หรือ ความฉลาดรู้ทางอารมณ์ (Emotioonal Ouotient - EQ)

6.ทักษะการแก้ปัญหาและตัดสินใจ (Problem Solving & Decision Making Skill)ในการประกอบธุรกิจส่วนตัวนั้น บ่อยครั้งที่จะต้องเผชิญกับปัญาเชิงระบบของตัวธุรกิจ รวมถึงปัญหารายวันที่เกิดแก่ลูกค้าและสินค้า บริการ ความเข้าใจในตัวปัญหา เทคนิคการวิเคระหืปัญหา การกำหนดทางเลือกในการตัดสินใจ ตลอดจนการวิเคระห์ความคุ้มค่าเพื่อตัดสินใจ จะเป็นทักษะที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี

7.การบริหารเวลา (Time Management)ความยุติธรรมเพียงประการเดียวที่ปรากฎอยู่บนโลกนี้ ก็คือ เวลาของแต่ละวันของทุกๆวัน คนมี 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้มันให้หมดๆ ไปในลักษณะใด เวลาสำหรับเจ้าของธุรกิจมีคุณค่ายิ่ง ทำอย่างไรจึงจะเกิดคุณประดยชน์ แก่ลูกค้า แก่ครอบครัว และแก่สุขภาพส่วนตัว

ปัจจัยทั้งหมด เป็นเพียงขั้นพื้นฐานยังมีสิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรจะมีอีกมากมายหลายประการ อาทิเช่น ความเป็นผู้นำ ความสามารถในการบริหาร การมอบหมายงาน การกำกับดูแล ฯลฯ แต่ก็มิได้เป็นประเด็นที่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด หากเรามีการใผ่เรียนรู้ด้วย "การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)"  ที่มา : http://www.smes-thai.com/2011/06/7.html


ระวัง ! อาหารโซเดียมสูง และ ขนมถุง อันตรายที่ซ่อนอยู่ในความเค็ม


              อันตรายจากการทานโซเดียมมากเกินไป

อันตรายจากการทานโซเดียมมากเกินไป
 
ระวัง... อาหารโซเดียมสูง

"เค็ม" ...เป็นอีกรสชาติหนี่งที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้น จนคนส่วนใหญ่เผลอใจ ติดรสเค็มโดยไม่รู้ตัว และอาจไม่รู้ว่าตามหลักโภชนบัญญัตินั้น เขาแนะนำให้ประชาชน บริโภคน้ำมัน น้ำตาล และเกลือ น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เช่น คนในวัยผู้ใหญ่ควรได้รับโซเดียมประมาณวันละ ๒๓๐ มิลลิกรัม หรือประมาณ ๑ ใน ๑๐ ของ ๑ ช้อนชา เท่านั้น
(ปริมาณสูงสุดที่องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้คือ วันละ ๖ กรัม ซึ่งมีโซเดียม อยู่ ๒,๔๐๐ มิลลิกรัม)
หากเรากินอาหารรสเค็มจัดที่ได้จากเกลือโซเดียม มากกว่า ๖ กรัมต่อวัน หรือมากกว่า ๑ ช้อนชาขึ้นไป เป็นประจำ ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลมปัจจุปัน (หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก) โรคหัวใจ และ ไตวาย รวมทั้ง โรคกระดูกพรุน ขณะเดียวกันคนที่เริ่มเป็น โรคต่างๆ ข้างต้นนั้น ก็ต้อง ระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ในโรคที่เป็นอยู่ หรือกลายเป็นโรคเรื้อรังที่รักษายาก และอาจเป็น อันตรายถึงแก่ชีวิตได้
*** โซเดียมคืออะไร
โซเดียมคือ เกลือแร่ (สารอาหาร) ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุม ความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยในการทำงาน ของประสาทและกล้ามเนื้อ (รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย) ตลอดจนการดูดซึมสารอาหาร บางอย่าง ในไตและลำไส้เล็ก
โซเดียมที่เราบริโภคกันเป็นประจำก็คือโซเดียมที่อยู่ในรูปของ เกลือแกง (เกลือ มีส่วนประกอบอยู่ ๒ อย่าง คือโซเดียมกับคลอไรด์) น้ำปลา ซึ่งมีรสเค็ม แต่ยังมีอาหารอีกมากชนิดที่ไม่มีรสเค็ม แต่มีโซเดียม แฝงอยู่สูงมาก ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึง จึงเป็นความจำเป็นที่เราทุกคน ต้องรู้ว่าอาหารชนิดใดบ้าง ที่มีโซเดียมสูง เพื่อจะได้ไม่เผลอกินเพลินจนเจ็บป่วย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคนไทยกินเกลือ ที่มีอยู่ ในอาหารและเครื่องปรุงรส โดยเฉลี่ยวันละประมาณ ๗ กรัม นี่เป็นคำตอบว่าทำไมคนไทย จึงป่วย ด้วยโรค จากการกินเพิ่มขึ้นทุกวัน
*** อาหารที่มีโซเดียม ได้แก่
๑. อาหารธรรมชาติ หลายคนอาจ เพิ่งทราบว่าโซเดียมมีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติแทบทุกชนิด โดยอาหารจาก เนื้อสัตว์ต่างๆ จะมีโซเดียมสูง ส่วนอาหารธรรมชาติที่มีโซเดียมต่ำ ได้แก่ ผลไม้ทุกชนิด ผัก ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง และเนื้อปลา ซึ่งอาหารสดเหล่านี้มีปริมาณโซเดียมที่เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้อง เรียกหาเครื่องปรุงรสใดๆ เลย (นอกจากความอยาก หรือกิเลสส่วนตัวเรียกร้อง)
๒. อาหารแปรรูปหรือการถนอมอาหาร ได้แก่ อาหารกระป๋องทุกชนิด อาหารหมักดอง อาหารเค็ม อาหารตากแห้ง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง ผลไม้ดอง เป็นต้น
๓. เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ เช่น เกลือ (ทั้งเกลือเม็ดและเกลือป่น) น้ำปลา (ซึ่งจะมีปริมาณของเกลือ แตกต่างกันคือ ร้อยละ ๒๓-๓๕) ซอสปรุงรสที่มีรสเค็ม (เช่น ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว น้ำบูดู กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เต้าหู้ยี้ รวมทั้งซอสหอยนางรม) ซอสปรุงรสที่ไม่มีรสเค็มหรือเค็มน้อย (เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มต่างๆ ที่มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ซอส เหล่านี้แม้จะมีโซเดียมปริมาณไม่มากเท่าน้ำปลา แต่คนที่ต้องจำกัดโซเดียมก็ต้องระวังไม่กินมากเกินไป)
๔. ผงชูรส แม้เป็นสารปรุงรสที่ไม่มีรสเค็ม แต่ก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยประมาณร้อยละ ๑๕ และที่เรารู้ๆ กันอยู่ก็คือ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ที่ขายในท้องตลาด มักมีการเติมผงชูรสลงไป แทบทุกชนิด เพื่อให้อาหารมีรสอร่อยขึ้น หรือแม้การปรุงอาหารในบ้าน หลายครัวขาดผงชูรสไม่ได้เลย (ความอร่อยนี้เป็นสิ่งเสพติดที่มีโทษต่อสุขภาพ)
๕. อาหารกระป๋องต่างๆ เช่น ผลไม้กระป๋อง ปลากระป๋อง และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ ขนมกรุบกรอบ เป็นถุง เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีการเติมเกลือหรือสารกันบูด ซึ่งมีโซเดียมในปริมาณที่สูงมาก
๖. อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปต่างๆ ทั้งชนิดก้อนและชนิดซอง
๗. ขนมต่างๆ ที่มีการเติมผงฟู (Baking Powder หรือ baking Soda) เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แพนเค้ก ขนมปัง ซึ่งผงฟูที่ใช้ในการทำขนมเหล่านี้มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ (โซเดียมไบคาร์บอเนต) รวมถึงแป้งสำเร็จรูป ที่ใช้ทำขนมเองก็มี โซเดียมอยู่ด้วย เพราะได้ผสมผงฟูไว้แล้ว
๘. น้ำและเครื่องดื่ม น้ำฝนเป็นน้ำที่ปราศจากโซเดียม แต่น้ำบาดาลและน้ำประปามีโซเดียมปนอยู่บ้าง ในจำนวนไม่
มากนัก ส่วนเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อต่างๆ มีการเติมสารประกอบของโซเดียมลงไปด้วย เพราะมี จุดประสงค์ ให้เป็นเครื่องดื่ม สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่สูญเสียเหงื่อมาก ส่วนน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ก็มักมีการเติมสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) ลงไปด้วย ทำให้น้ำผลไม้เหล่านี้ มีโซเดียมสูง วิธีหลีกเลี่ยงคือดื่ม น้ำผลไม้สดจะดีกว่า
โดยภาพรวมจะเห็นว่าอาหารปรุงแต่ง มาก อาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการต่างๆ จะมีโซเดียมสูง ดังนั้น ถ้ากินอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูปมากหรือบ่อยเท่าไหร่ เราก็จะได้รับโซเดียมส่วนเกิน วันละเยอะแยะ มากมาย ทั้งที่ความจริงแล้ว ร่างกายต้องการเกลือ ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถทนรับเกลือ ในปริมาณมากๆ ได้ โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็ก ที่ไม่สามารถ ขับถ่ายโซเดียมได้ดี เท่ากับผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรเติมเกลือในอาหารของลูกเล็กๆ หรือซื้ออาหาร สำเร็จมาให้ลูกกิน (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ) ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขเอง ก็มีประกาศในเรื่องนี้ อย่างเคร่งครัด ที่ห้ามผู้ผลิตเติมเกลือหรือสารประกอบโซเดียมใดๆ ในอาหารเด็ก (แต่ก็ต้องระวัง เพราะอาจจะมีหลงหู หลงตาไปบ้าง)
*** กินเกลือให้น้อยลง
อย่างที่ได้ทราบกันแล้วว่าอาหารหลายชนิดมีเกลือ "ซ่อนเร้น" อยู่ ดังนั้นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดการบริโภค เกลือลงคือ พยายามใช้เกลือ (น้ำปลา หรือซีอิ๊ว) ให้น้อยลงในการประกอบอาหาร หรือปรุงรสเวลากิน และอย่าลืมอ่านฉลากอาหาร ต่างๆ ทุกครั้งก่อนซื้อมากิน หรือคนที่ อ่านฉลากเสมอบางคน ก็ดูแค่เพียง ปริมาณแป้ง ไขมัน หรือน้ำตาลเท่านั้น แต่ลืมดูปริมาณของโซเดียม โดยทั่วไปฉลากอาหาร มักระบุปริมาณเกลือในรูปปริมาณโซเดียม วิธีเทียบหาปริมาณเกลือคือ ถ้าหน่วยของโซเดียม ที่ให้มา เป็นกรัม (ก.) ให้คูณด้วย ๒.๕ แต่หากหน่วยเป็นมิลลิกรัม (มก.) ให้คูณด้วย ๒.๕ แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ มาหารด้วย ๑,๐๐๐ ปริมาณโซเดียมที่คนเราต้องการคือ วันละ ๐.๕ - ๒.๓ กรัม
อาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียม สูง กำลังก่อให้เกิดโรคกับผู้คนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ โรคความดันโลหิตสูง ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ฆาตกรเงียบ" เพราะมันมาแบบเงียบๆ แบบไม่มีสัญญานเตือน และกว่าจะรู้ตัว ก็ปรากฏว่า เป็นโรคความดันโลหิต สูงไปเสียแล้ว โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาด ขึ้นอยู่กับ การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยรายใด มีวินัยในการกินตามที่แพทย์แนะนำ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ อย่างปกติสุขตามอัตภาพ แต่หากละเลยการดูแลตัวเอง ในที่สุดก็ จะมีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาอีก มากมาย และเมื่อนั้นความสุขในชีวิตก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมีความทุกข์ ทรมานจากโรคต่างๆ มาเบียดเบียน
ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเจ็บป่วย หรือเป็นโรคอยู่แล้วและอยากให้อาการดีขึ้น คือ ต้องหัดกินอาหาร รสจืดให้ได้ เป็นปกติ กินอาหารรสจัดให้น้อยลง แล้วจะรู้ว่า รสจืดก็มีความอร่อย... อร่อยแบบจืดๆ
# ข้อมูลบางส่วนจาก นิตยสาร Gourmet & Cuisine January ๒๐๐๕ หน้า ๘๓   - ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๗ ม.ค. - ก.พ. ๒๕๔๘ -
 
ขนมถุง อันตรายที่ซ่อนในความเค็ม
 
ขนมถุง

ขนมถุง อันตรายที่ซ่อนในความเค็ม (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค)


กินขนมถุงเยอะขึ้น ไตถูกทำลายมากขึ้น

ทำความรู้จักกับ โซเดียม

         โซเดียมเป็นสารอาหารที่สำคัญในตระกูลเกลือแร่ โซเดียมจัดอยู่ในกลุ่มอีเลคโทรไลต์ เมื่อละลายน้ำจะแยกตัวออกเป็น ไอออนที่มีประจุไฟฟ้าบวก โซเดียมมีมากที่สุดที่น้ำนอกเซลล์ โดยควบคุมความดันออสโมติกเพื่อรักษาปริมาณของน้ำนอกเซลล์ โซเดียมจะถูกดูดซึมได้ตลอดทางเดินอาหาร น้อยที่สุดที่กระเพาะอาหาร และมากที่สุดที่ลำไส้เล็กส่วนกลาง โซเดียมยังช่วยรักษา ความเป็นกรดและด่างของร่างกาย ช่วยนำซูโครสและกรดอะมิโน ไปเลี้ยงร่างกาย

ความสำคัญของ ไต

         ไต เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายมีขนาดประมาณกำปั้นของผู้เป็นเจ้าของรูปร่าง คล้ายถั่วแดงอยู่ด้านหลังทั้ง 2 ข้างของลำตัว ในแนวระดับของกระดูกซี่โครงล่าง (หรือเอง หรือเหนือระดับสะดือ) มีหน้าที่หลักในการขัดกรองของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากเลือด และยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมสมดุลของเกลือแร่ และกรดด่างในร่างกาย หลั่งฮอร์โมนช่วยควบคุมความดันโลหิต หลั่งฮอร์โมน ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง และสร้างวิตามิน ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตหากไตไม่ทำงาน หรือทำงานไม่เพียงพอ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ หรือมีโรคแทรกจะทำให้ระดับของเสีย และปริมาณน้ำคั่งค้างในร่างกาย หรือในเลือด จะปรากฏอาการเหล่านี้ คือ ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีเลือดในปัสสาวะ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีเลือดในปัสสาวะ มีอาการบวมที่มือและเท้า ปวดหลังในระดับชายโครง

ความดันโลหิตสูง

         ผู้ป่วยที่เกิดภาวะไตวายระยะสุดท้าย มีสาเหตุที่สำคัญมาจากเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ต้องรักษาโดยการล้างไต หรือผ่าตัดเปลี่ยนไต หากรักษาโรคทั้งสองนี้ได้ก็จะทำให้โรคไตที่เกิดขึ้นทุเลา หรือชะลอการเปลี่ยนแปลงได้

โซเดียมมีความสัมพันธ์กับไตอย่างไร

        ไตมีหน้าที่ขจัดของเสีย ยา สารพิษที่ละลายในน้ำออกทางปัสสาวะ

        ดูดซึมและเก็บสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

        รักษาปริมาณน้ำในร่างกาย โดยสงวนเก็บน้ำไว้ระบายน้ำส่วนที่ร่างกาย ไม่ต้องการออกจากร่างกาย

        รักษาปริมาณของโซเดียมในยามที่ร่างกายขาดโซเดียม ระบายโซเดียมที่มากเกินต้องการออกทางปัสสาวะ ในกรณีที่ได้รับโซเดียมมากเกินไป

         ดังนั้นถ้าไตปกติจึงไม่มีอันตรายจากโซเดียมคั่งค้าง ไตมีหน้าที่ขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย โซเดียมจะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ บางส่วนจะออกมาทางอุจจาระและเหงื่อ และเมื่อสมรรถภาพของไตเสื่อมลง การคั่งของของเสียจะเกิดขึ้น รวมทั้งไตไม่สามารถขับโซเดียมส่วนเกินออกได้ ทำให้โซเดียมคั่งอยู่ในเลือด ทำให้ผู้ป่วยโรคไตจำเป็นต้องลดการบริโภคอาหารที่มีเกลือโซเดียมน้อยลง

         คนปกติมีความต้องการโซเดียมประมาณ 1,100-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน เราได้โซเดียมจากอาหารรวมกับคลอไรด์ ในรูปของโซเดียมคลอไรด์ที่เรียกว่า เกลือแกง นอกจากนี้จะได้โซเดียมจากเครื่องปรุงรสทุกชนิด ที่มีเกลือแกงเป็นองค์ประกอบ เช่น น้ำปลา ผงชูรส ซอสซีอิ้วปรุงรส กะปิ อาหารหมักดอง ผัก-ผลไม้ดอง ไข่เค็ม ปลาเค็ม ฯลฯ การรับประทานขนมถุงที่มีเกลือโซเดียมในปริมาณมาก หรือทานทีเดียวหลาย ๆ ถุงจะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมเพิ่มมากขึ้นจากอาหารปกติ ทำให้มีปริมาณโซเดียมส่วนเกินคั่งอยู่ในเลือดมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ไตถูกทำลายมากขึ้น