ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สุดยอดความก้าวหน้าในวงการเทคโนโลยีประจำปี 2015 มีอะไรบ้าง?

สุดยอดความก้าวหน้าในวงการเทคโนโลยีประจำปี 2015 มีอะไรบ้าง?

วงการเทคโนโลยีในช่วงปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้าไปมากในเรื่องของหุ่นยนต์ อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ เทคโนโลยีแบบควบคุมตนเอง และแหล่งพลังงานสะอาด

ความก้าวหน้าในด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เครื่องยนต์กลไก เซนเซอร์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ได้ทำให้วงการเทคโนโลยีในปี 2015 ที่กำลังจะผ่านไป เข้าใกล้กับโลกของหุ่นยนต์แห่งอนาคตมากขึ้น 
http://av.voanews.com/Videoroot/Pangeavideo/2015/12/4/48/48814b96-fd1f-490e-8170-6f9b70cafdbd.mp4

รถยนต์แบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองและรถยนต์ไฟฟ้า

เทคโนโลยีที่ดูเหมือนจะถูกพูดถึงมากที่สุดในปี 2015 คือ รถยนต์แบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้บริษัทรถยนต์ใหญ่ๆทั่วโลกต่างหันมาพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ระยะทางไกลขึ้น รวมถึงเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานจากไฮโดรเจน                      
คุณ Takahiro Hachigo ซีอีโอของ Honda กล่าวว่าทางบริษัทต้องการสร้างสังคมที่ทั้งผลิต ใช้ และเชื่อมต่อกับพลังงานไฮโดรเจน

ในส่วนของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง หรือ Driverless Car ก็กำลังขยับใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที และเมื่อเร็วๆนี้ รถบรรทุกแบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองของ Mercedes ก็สามารถเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการทดสอบวิ่งบนทางด่วนที่การจราจรคับคั่งได้อย่างประสบผลสำเร็จ
http://av.voanews.com/Videoroot/Pangeavideo/2015/08/c/c1/c1107265-f202-4f4f-acee-9cbd28a1ea82.mp4

เครื่องพิมพ์สามมิติหรือ 3D Printer

เทคโนโลยีอีกแขนงหนึ่งที่ก้าวหน้าไปไม่น้อย คือเครื่องพิมพ์สามมิติหรือ 3D Printer ซึ่งสามารถพิมพ์สิ่งของได้มากมายหลายประเภทตั้งแต่ขนมไปจนถึงรถยนต์ และมีงานวิจัยบางชิ้นที่ระบุว่า อีกไม่นานบ้านที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์สามมิติ อาจนำมาใช้แก้ปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยได้                                                       
คุณ May Yihe ซีอีโอของบริษัท Winsun Engineering บอกว่าทางบริษัทใช้ขยะจากครัวเรือนหรือสิ่งของเหลือใช้ทางอุตสาหกรรม มาเป็นวัตถุดิบสำหรับการสร้างบ้านที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์สามมิติ
http://av.voanews.com/Videoroot/Pangeavideo/2015/11/0/03/03e61509-772a-4d64-8e6f-021b07220e21.mp4

เทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญหาประดิษฐ์

เทคโนโลยีที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในช่วงปีที่ผ่านมา คือเทคโนโลยีหุ่นยนต์และปัญหาประดิษฐ์ ซึ่งปี 2015 นี้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์แบบใหม่หลายชนิด ตั้งแต่หุ่นยนต์รับรองแขก หุ่นยนต์บาร์เทนเดอร์ ไปจนถึงหุ่นยนต์ที่เรียกว่า exoskeleton ที่ทำให้ผู้ป่วยอัมพาตกลับมาเดินได้อีกครั้ง และอวัยวะเทียมที่สามารถควบคุมการทำงานจากสมองของผู้สวมใส่ได้
ศัลยแพทย์ด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ Thorvaldur Ingvarsson ระบุว่าเมื่อใส่เซนเซอร์เข้าไปในกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อนั้นจะสามารถรับสัญญาณที่ส่งมาจากสมอง แล้วส่งต่อไปยังอวัยวะเทียมเพื่อให้สมองสามารถสั่งการควบคุมอวัยวะเทียมชิ้นนั้นได้

http://av.voanews.com/Videoroot/Pangeavideo/2015/01/b/b0/b0074278-92da-40f1-bc66-143074717a85.mp4

เทคโนโลยีไร้คนขับหรือโดรน (Drone)

เทคโนโลยีไร้คนขับหรือโดรน (Drone) มีทั้งแบบบนฟ้า บนบกและในทะเล ซึ่งปี 2015 ถือเป็นปีที่โดรนถูกนำมาใช้ในด้านต่างๆมากที่สุด ตั้งแต่สำรวจใต้ทะเล บินตรวจดูการลักลอบล่าสัตว์ในแอฟริกา ช่วยเกษตรกรสำรวจพื้นที่การเกษตรและวิเคราะห์ผลผลิต บินสำรวจประชากรสัตว์ป่าพันธุ์หายาก ไปจนถึงการใช้ในการขนส่งสินค้าต่างๆ

http://av.voanews.com/Videoroot/Pangeavideo/2015/11/0/0e/0ea331ec-46a8-4a17-ab92-8b8f4637eb3d.mp4

ความก้าวหน้าด้านซอฟต์แวร์ในปี 2015

ปีนี้เป็นปีที่มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนกันอย่างแพร่หลายและซับซ้อนมากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแอพที่นำมาใช้ในด้านสุขภาพและทางการแพทย์ เช่นแอพที่ใช้ตรวจผลเลือดได้ทันทีภายใน 15 นาที โดยไม่ต้องส่งตัวอย่างเลือดนั้นไปที่ห้องแล็บเหมือนเมื่อก่อน

เทคโนโลยีระบบเสมือนจริง หรือ Virtual Reality

ซอฟต์แวร์อีกอย่างหนึ่งที่ที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่กำลังเร่งพัฒนาอย่างจริงจังคือ เทคโนโลยีระบบเสมือนจริง หรือ Virtual Reality ที่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมคอมพิวเตอร์ ด้วยแว่นตาครอบศีรษะซึ่งสามารถพาเราเข้าไปอีกโลกหนึ่งได้ทันที                                       
คุณ John Hick ผู้เชี่ยวชาญด้านวิดีโอเกมส์กล่าวว่า Virtual Reality คือเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในขณะนี้ และจะกลายมาเป็นจุดสนใจมากขึ้นในปีที่กำลังจะมาถึง

นอกจากนั้น ปี 2015 ยังเป็นปีที่บริษัทซอฟต์แวร์ต่างๆ เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ๆกันอย่างครึกโครม ซึ่งรวมถึงระบบปฏิบัติการ Window 10 ของ Microsoft ที่ให้บริการดาวน์โหลดฟรีได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
(ทรงพจน์​สุภาผล เรียบเรียงจากรายงานของผู้สื่อข่าว George Putic)
ที่มา : http://www.voathai.com/content/tech-2015-wraps/3108317.html

สังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์

สังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์



 โลกยุคโลกาภิวัตน์ 

          คำว่า “โลกาภิวัตน์” หมายถึง การแพร่กระจายไปทั่วโลก (ของข่าวสาร) การที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดสามารถรับรู้ สัมผัส หรือ รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง สืบเนื่องมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศ ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร (Information Age) ที่ไร้พรมแดน อันเป็นยุคที่มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารและคมนาคม ทำให้ประเทศต่าง ๆ ได้เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น กระแสโลกทั้งในรูปของทุนและข้อมูล รวมทั้งค่านิยมบางประการ เช่น สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ได้ขยายตัวครอบคลุมไปทั่วโลก 

           ลักษณะสำคัญของโลกาภิวัตน์ จึงเป็นความหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายกิจกรรม
การดำเนินงาน ซึ่งแต่เดิมอาจจะผูกขาดอยู่ ณ ศูนย์หรือแหล่งไม่กี่แห่งในโลก ออกไปยังท้องถิ่นหรือศูนย์ใหม่ๆ หลากหลายมากขึ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า สังคมยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นโลกที่มนุษย์สามารถข้ามพรมแดนของประเทศและสามารถทะลุกาลเวลาได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศในการติดต่อสื่อสารในลักษณะที่ไร้พรมแดน โลกในสายตาของผู้ที่อาศัยเทคโนโลยี จึงเป็นโลกใบเล็กที่สามารถติดต่อถึงกันได้ง่ายและรวดเร็ว 
          
           ปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองโลก มีผลทำให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และมีความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น โลกที่เคยกว้างใหญ่กลับเล็กลง ดินแดนแต่ละประเทศที่อยู่ห่างไกลกันสามารถติดต่อกันได้ภายในเวลาเสี้ยววินาทีประดุจเป็นหมู่บ้าน (Global Village) ภูเขาและทะเล ซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติ ที่เคยเป็นอุปสรรคในการติดต่อไปมาหาสู่ ดูเสมือนเลือนหายไปจนกลายเป็นโลกไร้พรมแดน 


          ลักษณะสำคัญของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน
          คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร

          สังคมโลกาภิวัตน์คอมพิวเตอร์มีบทบาทสำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องมือที่จะรับและแปลงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและไม่ค่อยมีข้อจำกัด คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ในการจัดเก็บ บันทึกข้อมูล จัดระบบข้อมูล และนำมาใช้สื่อสารถึงกันในเวลาอันรวดเร็วทุกมุมโลก ในระยะไม่กี่ปีมานี้ ได้มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ไปอย่างมาก จากเครื่องที่มีขนาดใหญ่ราคาแพง เป็นระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลที่มีขนาดเล็ก มีคุณภาพ ราคาถูก และศักยภาพสูง เครื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการแพร่ข้อมูลข่าวสารในยุคโลกาภิวัตน์
          

          เกิดการเพิ่มขึ้นของแรงงานด้านข่าวสาร จำนวนแรงงานที่ทำงานเกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แรงงานเหล่านี้ได้แก่ผู้ที่อยู่ในวงการการศึกษา การคมนาคม การพิมพ์ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ สื่อสารมวลชน ทุกประเภท การเงิน การบัญชี รวมทั้งอุตสาหกรรมผลิตคอมพิวเตอร์หรือชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และงานที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาจัดการกับ ข่าวสารทุกชนิด

          เกิดการไหลบ่าของข้อมูลข่าวสาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมเจริญก้าวหน้า เศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้าทำให้โลกตะวันตกมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดเป็นแรงกระตุ้นให้มีการวิจัยและพัฒนา เพื่อศึกษาค้นคว้าหาข่าวสารที่เป็นประโยชน์อย่างไม่หยุดยั้ง สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ก็ทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีสื่อสารอันทันสมัยก็มีส่วนช่วยให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลใหม่ ๆ หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

          ระบบเศรษฐกิจประสานเป็นหนึ่งเดียว ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ระบบเศรษฐกิจจะมีการประสานเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พรมแดนแต่ละประเทศไม่อาจขวางกั้นพลังทางเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ ระบบเศรษฐกิจยังได้เปลี่ยนรากฐานจากระบบอุตสาหกรรมมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบฐานข่าวสาร (Information based economy) ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการผลิต การจัดการ และเผยแพร่ข่าวสาร ข่าวสารกลายเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง ตัวอย่างธุรกิจชนิดนี้ เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรคมนาคม วิทยุ โทรทัศน์ การพิมพ์ โทรศัพท์ หนังสือ วารสาร เป็นต้น ข่าวสารกลายเป็นเรื่องสำคัญและเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้ต้องการใช้ข่าวสารต้องเสียค่าใช้จ่าย ข่าวสารกลายเป็นแหล่งทุน และเป็นบ่อเกิดของการว่าจ้างแรงงาน

          ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อสังคมโลก


          ผลกระทบด้านสังคม
          การครอบโลกทางวัฒนธรรม เนื่องจากระบบสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้เกิดการครอบโลกทางวัฒนธรรม อิทธิพลของวัฒนธรรมและอำนาจของเศรษฐกิจจากประเทศที่พัฒนาแล้วได้ไหลบ่าเข้าสู่ประเทศอื่นอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดกระแสวัฒนธรรมโลก (Neo - Westernization) ครอบงำทาง ความคิด การมองโลก การแต่งกาย การบริโภคนิยม แพร่หลายเข้าครอบคลุมเหนือวัฒนธรรมประจำชาติของแต่ละประเทศ ผลที่ตามมา คือ เกิดระบบผูกขาดแบบไร้พรมแดน

          หมู่บ้านโลก (Global Village) จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม ทำ ให้สังคมโลกไร้พรมแดน โลกทั้งโลกเป็นเสมือนหมู่บ้าน เดียวกัน สมาชิกของหมู่บ้านคนใดทำอะไร ก็สามารถรับรู้ได้ ทั่วกันทั่วโลก เมื่อมาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน สิ่งใดที่มากระทบประเทศหนึ่งก็ย่อมกระทบถึงประเทศอื่น ๆ ไปด้วยอย่างมิอาจ หลีกเลี่ยงได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกสามารถรับรู้ได้อย่างฉับพลัน
จากผลกระทบด้านสังคมที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่า มีปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า POP CULTURE เกิดขึ้น ปรากฏการณ์นี้ คือรูปแบบวัฒนธรรมที่มีการประพฤติ ปฏิบัติในวงกว้าง เช่นการบริโภค อาหารแบบ FAST FOOD ตามวิถีแบบอเมริกันชนความเป็นอยู่ การศึกษา ต่างๆ ที่เป็นแบบแผน เดียวกัน ในการดำเนินชีวิต 

          ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
          ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งมีข้อมูลข่าวสารเข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตสินค้า จากการผลิตที่เหมือนกันในปริมาณที่เป็นจำนวนมาก มาเป็นการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมในการผลิต โดยมีลักษณะการใช้งานเฉพาะ ซึ่งใช้ระยะเวลาการผลิตสั้นกว่า สิ้นเปลืองน้อยกว่า จะเข้ามาแทนที่ เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนอาจได้รับการผลิตในประเทศต่าง ๆ 4 ประเทศ ที่มีความสามารถเฉพาะด้าน แล้วนำมาประกอบในประเทศที่ 5 แล้วส่งขายไปทั่วโลก ซึ่งเป็นลักษณะของการเกิดบริษัทข้ามชาติทุนข้ามชาติ ที่เข้าไปเสาะแสวงหาผลกำไร อย่างไร้พรมแดนในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก แล้วกำไรเหล่านั้น ถูกส่งไปพัฒนา หรือถูกส่งไปยังบริษัทใหญ่ในประเทศแม่ เป็นแบบฉบับธุรกิจโลกาภิวัตน์ ซึ่งมีผลทำให้ธุรกิจ การเงิน หลักทรัพย์ ธนาคาร ประกันภัย ต้องปรับตัวเพื่อรองรับธุรกิจแบบโลกาภิวัตน์ด้วย การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนระบบการผลิตมาเป็นการผลิตอย่าง ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ระบบการเงินก็จะต้องปรับมาบริการแบบ 24 ชั่วโมงด้วย กระแสเงินตราต่าง ๆ ได้ผ่านเข้าออกธนาคารตลอดเวลาในช่วงเวลาที่วัดกันเป็นเสี้ยววินาที โดยใช้อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอัตราเร็วนี้คือความสามารถที่จะก้าวล้ำหน้า ทำให้มีผลต่อการกระจายอำนาจและผลกำไรอย่างมากมาย นอกจากนั้น กระแสการแข่งขันด้านการค้าและการแสวงหาตลาดได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสภาพข้ามชาติอย่างแท้จริง การค้าและช่องทางการเข้าสู่ตลาดโลกมิอาจดำเนินไปในรูปแบบที่เรียกว่า ลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ที่เคยเป็นลักษณะหนึ่งของการแข่งขัน เพื่อผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์ในอดีต การดำเนินกิจกรรมทางการค้าได้พัฒนาซับซ้อนและมีกลไกมีวิธีการหลากหลายมากขึ้น ในยุคนี้จะได้เห็น “การทูตแผนใหม่” (New Diplomacy) ที่มุ่งไปที่พันธมิตรทางธุรกิจ การค้าและอุตสาหกรรม แทนการใช้ระบบการเมืองดังที่เคยปรากฏในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา

          ผลกระทบด้านการเมือง
          เกิดความรู้สึกท้องถิ่นนิยม (Localism) กระแสโลกาภิวัตน์สร้างความรู้สึกท้องถิ่นนิยมแทนที่อุดมการณ์ชาตินิยม เนื่องจากสังคมยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคแห่งข่าวสาร ซึ่งประชาชนใน ท้องถิ่นสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนของตนได้อย่างรวดเร็วจากสื่อมวลชน ทำให้เกิดการปลุกจิตสำนึกของประชาชนในท้องถิ่น ให้รู้จักเห็นคุณค่าอนุรักษ์ รักษา และหวงแหนทรัพยากรภายในท้องถิ่นของตน พร้อมทั้งตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลกลาง หากรัฐบาลกลางหวังจะตักตวงผลประโยชน์จากท้องถิ่นโดยไม่โปร่งใส ก็จะถูกต่อต้านจาก ประชาชนในท้องถิ่น ดังที่เราได้พบเห็นที่กลุ่ม ประชาชน ออกมาเรียกร้อง สิทธิ ความเสมอภาคต่างๆ
 

ที่มา :  https://sites.google.com/site/xaseiynniyukhlokaphiwathn/sangkhm-lok-yukh-lokaphiwathn

ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของวงการสาธารณสุขโลก

ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของวงการสาธารณสุขโลก

Antibiotics


วงการแพทย์ได้ใช้ยาเพนนิซิลินบำบัดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดมาตั้งแต่ 87 ปีที่แล้วแต่มาถึงตอนนี้มีเชื้อเเบคทีเรียหลายชนิดดื้อต่อยาปฏิชีวนะมากขึ้น
ในปี 2015 องค์การอนามัยโลกเตือนว่าเรากำลังถอยหลังกลับไปสู่ยุคก่อนหน้ายาปฏิชีวนะที่จะมีคนเสียชีวิตกันมากขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วๆ ไป  
ด็อกเตอร์ไมเคิ่ล เบล แห่งสำนักงานควบคุมโรคแห่งสหรัฐหรือ CDC กล่าวว่าในอินเดียเพียงประเทศเดียว ประมาณว่ามีเด็กทารกราว 58,000 คนที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคดื้อยาเพียงชนิดเดียวภายในหนึ่งปีเท่านั้น สำนักงาน CDC ประมาณว่ามีคนในสหรัฐฯเสียชีวิต 23,000 รายในปี 2014 จากเชื้อโรคดื้อยา
ด็อกเตอร์ไมเคิ่ล เบล กล่าวว่าปัญหาเชื้อโรคดื้อยาเป็นปัญหาใหญ่ ที่ผ่านมาเราเคยมียาปฏิชีวนะหลายชนิดเพื่อใช้บำบัดโรค และเมื่อยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งใช้ไม่ได้ผล เราจะปรับไปใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์แรงขึ้น แต่มาถึงขณะนี้เราไม่มียาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์แรงหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
เชื้อแบคทีเรียวิวัฒนาการตลอดเวลา เชื้อแบคทีเรียที่ยาปฏิชีวนะไม่สามารถกำจัดได้จึงขยายพันธุ์ต่อไป
ปกติตัวยาปฏิชีวนะเองไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา แต่การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้องเป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งของการเกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาชนิดต่างๆ 
ที่เลวร้ายกว่านั้น คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่ายาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่สามารถใช้บำบัดการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่หรือเป็นหวัดธรรมดา
เพื่อแก้ปัญหานี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังหาทางพัฒนายาตัวใหม่ๆออกมา พร้อมไปกับการหาทางคงรักษายาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้ต่อไป 
ผลการศึกษาโดยสำนักงานป้องกันโรคแห่งสหรัฐพบว่า โรงพยาบาลในสหรัฐใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์แรงเกินไปและใช้ยามากความจำเป็น ทางสำนักงานได้ร้องขอให้บรรดาแพทย์ในโรงพยาบาลมีความระมัดระวังมากขึ้นในการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรค นอกจากนี้ สำนักงาน CDC ยังกำลังศึกษาถึงต้นเหตุต่างๆ ของการติดเชื้ออีกด้วย 
ปัญหาเชื้อเเบคทีเรียดื้อยา นอกจากจะเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปเเล้ว ยังมีสาเหตุความบกพร่องในการรักษาความสะอาดซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาแพร่ระบาด 
บนหน้าเว็บไซต์สำนักงาน CDC เเนะนำให้ประชาชนทั่วไปให้รับประทานยาปฏิชีวนะจนหมดตามปริมาณที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการป่วยจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ต้องเพิ่มความพยายามในการลดปัญหาเชื้อเเบคทีเรียดื้อยาในระดับทั่วโลกอย่างเร่งด่วนอีกด้วย เพื่อป้องกันวิกฤติการณ์ทางสาธารณสุขอย่างที่เคยเกิดขึ้นในยุคก่อนหน้ายาปฏิชีวนะ  
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)
ที่มา : http://www.voathai.com/content/health-antibiotic-resistance-tk/3121115.html

คนไทยทั้งประเทศ เสียภาษีแค่ 2 ล้านคน และครึ่งหนึ่งมาจากคน 30000 คน

คนไทยทั้งประเทศ เสียภาษีแค่ 2 ล้านคน และครึ่งหนึ่งมาจากคน 30000 คน


รายงานผลสำรวจของสำนักงานสถิตแห่งชาติในปี 2553 ระบุว่าแรงงานในระบบของไทยทั้งหมดมีประมาณ 38 ล้านคน แบ่งเป็นมนุษย์เงินเดือน 17 ล้านคน และกลุ่มอาชีพอิสระ เช่น หมอ วิศวะ ก่อสร้าง เกษตรกร แท็กซี่ หาบเร่แผงลอยอีก 21 ล้านคน

แต่ที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มมนุษย์เงินเดือน 17 ล้านคน ได้รับค่าแรงไม่ถึง 300 บาทต่อวัน มีจำนวน 11.5 ล้านคน กลุ่มนี้อยู่นอกฐานภาษีของกรมสรรพากร เพราะมีรายได้ไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี ส่วนกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่เหลือ 5.5 ล้านคน ได้รับค่าแรงเกินวันละ 300 บาท เมื่อรวมกับกลุ่มอาชีพอิสระจำนวน 21 ล้านคน จะมีจำนวนผู้เสียภาษี 26.5 ล้านคน ปรากฏว่าในปี 2554 มีคนมายื่นแบบ ภ.ง.ด.90-91 กับกรมสรรพากรแค่ 11.7 ล้านคน แต่อีก 14.8 ล้านคน ไม่มายื่นแบบเสียภาษี

มีคำถามว่า แล้วคนกลุ่มนี้อยู่ที่ไหน ประเด็นนี้ นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงว่า คนไทยมีประมาณ 66 ล้านคน เป็นแรงงานในระบบ 38 ล้านคน ส่วนที่เหลือ 28 ล้านคน เป็นเด็ก คนชรา พระภิกษุ และผู้ช่วยครัวเรือน

พร้อมกับยืนยันว่า จริงๆ จำนวนผู้ที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับกรมสรรพากร (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90, 91) ไม่ได้ลดลง ตรงกันข้ามตัวเลขกลับเพิ่มขึ้นทุกปี จาก 8 ล้านคน เป็น 9 ล้านคน และปัจจุบัน 11.7 ล้านคน แต่ในบรรดาคนที่มายื่นแบบ ภ.ง.ด.90, 91 จำนวน 11.7 ล้านคนนั้น มีผู้ที่เสียภาษีจริงๆ แค่ 2 ล้านคน อีกประมาณ 9 ล้านคน เข้ามายื่นภาษีฯ อยู่ในระบบแล้ว เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ เหลือเงินได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี จึงหลุดออกไปอยู่นอกฐานภาษี

ข้อมูลจากกรมสรรพากรระบุในรายละเอียดว่า กลุ่มผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคธรรมดา 2 ล้านคนนั้น มีผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 4 ล้านบาทต่อปี เสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 37% ของรายได้สุทธิ อยู่ประมาณ 30,000 คน ซึ่งจ่ายภาษีคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จัดเก็บได้ อย่างในปีงบประมาณ 2554 กรมสรรพากรเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 236,339 ล้านบาท ซึ่งมีผู้มีรายได้สูงประมาณ 30,000 คนนี้ จ่ายภาษีประมาณ 120,000 ล้านบาท เฉลี่ยจ่ายภาษีคนละ 4 ล้านบาทต่อปี ส่วนผู้เสียภาษีที่เหลืออีกประมาณเกือบ 2 ล้านคน จ่ายภาษีได้ประมาณ 120,000 ล้านบาท เฉลี่ยต่อหัวจ่ายภาษีคนละประมาณ 60,000 บาทต่อปี

ดังนั้น ประเทศไทยมีบุคคลธรรมดาที่จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียงแค่ 2 ล้านคนเท่านั้น ทั้งๆ ที่มีมนุษย์เงินเดือน11.7 ล้านคน


ธนาคารโลกระบุไทยจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่ามาตรฐาน

จากข้อมูลผลการศึกษาของธนาคารโลกปี 2551 ระบุว่า ประเทศไทยควรจะเก็บภาษีได้ 21.35% ของจีดีพี แต่ปรากฏว่าเก็บได้จริงเพียงแค่ 16.20% ของจีดีพีเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ พบว่าประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของไทยอยู่ในระดับต่ำมากแค่ 0.76% และถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาดมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.90% ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.08%
ปัจจุบัน โครงสร้างของอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยเป็นระบบภาษีอัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันได มีอยู่ 5 อัตรา แปรผันตามช่วงของเงินได้ เริ่มจากยกเว้นภาษี, 10%, 20%, 30% และ 37% ตามแต่อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) อยู่ที่ระดับ 3.7-4.7% เท่านั้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรอยู่ในระดับที่ต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 52.6% ของจีดีพี นอกจากนี้ยังให้สิทธิลดหย่อนภาษีมากเกินไป จนทำให้ผู้ที่มีรายได้ดีนิยมใช้เป็นเครื่องมือหลบเลี่ยงภาษี

โครงสร้างภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปีที่ธนาคารโลกทำการศึกษา พบว่ามีผู้ประกอบการจดทะเบียนในรูปของบริษัท, ห้างหุ้นส่วนทั้งหมด 327,127 ราย ประกอบด้วย

1. บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 523 บริษัท เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับกรมสรรพากร คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บได้ทั้งหมด หรือ ประมาณ 28.5% ของภาษีเงินได้นิติบุคคล

2. บริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลมี 153,383 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บได้ หรือ ประมาณ 71.5% ของภาษีเงินได้นิติบุคคล และบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนที่เหลืออีก 173,221 บริษัท ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับกรมสรรพากร

ส่วนกลุ่มบริษัทห้างร้านที่เข้ามาอยู่ในฐานภาษีของกรมสรรพากรแล้ว ปรากฏว่ามีบริษัทเป็นจำนวนมากได้รับสิทธิลดหย่อนหรือยกเว้นภาษี ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท อาทิ บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมบีโอไอได้รับยกเว้นภาษี 8 ปี, ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีกำไรสุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี, กำไรสุทธิไม่เกิน 1 ล้านบาท เสียภาษีที่อัตรา 15% และหากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เสียภาษีที่อัตรา 25% และถ้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใหม่เสีย 20% ทำให้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แท้จริงอยู่ที่ 23.9%


วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วันพ่อแห่งชาติ มีประวัติความเป็นมา และความสำคัญอย่างไร

UploadImage

ประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันพ่อแห่งชาติ
 

วันพ่อแห่งชาติ 

         ใกล้จะถึงวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคมนี้แล้วนะคะ หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้จักวันพ่อแห่งชาติดีเท่าที่ควร วันนี้ศูนย์ข่าวการศึกษาไทยจึงอยากให้ทุกคนได้รู้จักวันพ่อแห่งชาติลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ
 
          จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 587) พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า พ่อ หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกชายผู้ให้กำเนิดตน ในทางพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า “พ่อ” หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกมีใช้หลายคำ เช่น บิดา (พ่อ) ชนก (ผู้ให้กำเนิด) สามี (ของแม่) เป็นต้น
 

UploadImage

         วันพ่อแห่งชาติ  5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย

         วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ”

         ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฏิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
 

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติในวันพ่อแห่งชาตินี้

1. ในวันพ่อแห่งชาติเราควรประดับธงชาติไทยที่อาคารบ้านเรือน

2. จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล




UploadImage


วันพ่อแห่งชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร
 
      วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

         ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ
วัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ

1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม

3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ

4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  
 



ดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ

UploadImage

         ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ “พุทธรักษา” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
 
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย
 

UploadImage

บทบาทของพ่อ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปบทบาทหน้าที่ของพ่อและแม่ไว้ 5 ข้อ

 1.       กันลูกออกจากความชั่ว

 2.       ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี

 3.       ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียน

 4.       ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี

 5.       มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงการณ์อันควร
 

         หลังจากที่ได้รู้ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ศูนย์ข่าวการศึกษาไทยมีเพลงเพลงนึงที่มีความหมายดีๆ เกี่ยวกับพ่อหลวงของเรามาฝากค่ะ ชื่อเพลงรูปที่มีทุกบ้าน เป็นเพลงเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ประพันธ์คำร้องโดย นิติพงษ์ ห่อนาค ทำนองโดย อภิไชย เย็นพูนสุข เรียบเรียงเสียงประสานโดย วีรภัทร์ อึ้งอัมพร และขับร้องโดย ธงไชย แมคอินไตย์

https://youtu.be/1g3zrd2WVw8

ที่มา : http://www.enn.co.th/1579--วันพ่อแห่งชาติ_มีประวัติความเป็นมา_และความสำคัญอย่างไร.html

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การกินน้ำตาลในปริมาณมากมีผลเสียต่อสุขภาพเด็ก

การกินน้ำตาลในปริมาณมากมีผลเสียต่อสุขภาพเด็ก

ผลการศึกษาชิ้นล่าสุดชี้ว่าเด็กที่รับประทานน้ำตาลน้อยลงจะมีอาการของโรคในกลุ่มเมตาโบลิคซินโดรมน้อยลง

Reducing childrens' intake of sugar can lead to improved health in a matter of days, according to new research.

ผลการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Obesity เมื่อไม่นานมานี้ เป็นผลงานของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of California San Francisco กับมหาวิทยาลัย Touro University California เปิดเผยว่า การกินน้ำตาลน้อยลงช่วยลดระดับไขมันในกระเเสเลือด ลดอาการความดันโลหิตสูง ตลอดจนโรคในกลุ่มเมตาโบลิคซินโดรม โดยไม่ต้องลดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับหรือโดยไม่ต้องลดน้ำหนักตัว 
คุณ Robert Lusting ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อในเด็กที่ Benioff Children’s Hospital San Francisco แห่งมหาวิทยาลัย University of California San Francisco หรือ UCSF ซึ่งเป็นสมาชิกทีมวิจัยกล่าวว่า การศึกษาชิ้นนี้ช่วยยืนยันได้ว่าน้ำตาลมีผลเสียต่อระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายและส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ในกลุ่มเมตาโบลิคซินโดรม
ผลการศึกษานี้ถือเป็นข้อมูลที่หนักแน่นมากที่สุดเท่าที่มีมา ซึ่งชี้ให้เห็นผลเสียของน้ำตาลต่อร่างกายโดยไม่เกี่ยวข้องกับปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับหรือความอ้วน 
ด้านคุณ Jean-Marc Schwarz ผู้เชี่ยวชาญแห่งวิทยาลัยการแพทย์ Osteopathic Medicine มหาวิทยาลัย Touro University California ซึ่งเป็นสมาชิกในทีมวิจัยกล่าวว่าผลการศึกษานี้มีความสำคัญมากและช่วยเน้นย้ำความจำเป็นที่ผู้ปกครองควรใส่ใจกับปริมาณน้ำตาลที่ลูกรับประทาน
ทีมนักวิจัยทำการศึกษาเรื่องนี้ด้วยการเฝ้าติดตามเด็ก 43 คน อายุระหว่าง 9-18 ปี ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังในกลุ่มเมตาโบลิคซินโดรมโรคใดโรคหนึ่ง
ในการศึกษา เด็กๆ ได้รับอาหารที่ควบคุมระดับน้ำตาลนานเก้าวัน และอาหารดังกล่าวมีปริมาณแป้งเพิ่มมากขึ้นเพื่อคงระดับไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และปริมาณพลังงานหรือแคลอรี่ที่ได้รับ ให้เท่ากับระดับที่เด็กๆ ได้รับก่อนหน้าการวิจัย
ทีมนักวิจัยชี้ว่าจากปริมาณพลังงานทั้งหมดที่เด็กๆ ได้รับ เป็นน้ำตาลราว 10-28 เปอร์เซ็นต์และปริมาณ Fructose ราว 4-12 เปอร์เซ็นต์ 
ทีมนักวิจัยชี้ว่าหลังจากลดปริมาณน้ำตาลที่ผสมในอาหารลง เด็กๆ บอกว่ารู้สึกอิ่มมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่อาหารควบคุมน้ำตาลให้ปริมาณแคลอรี่แก่ร่างกายเท่าเดิมเพียงแต่ลดปริมาณน้ำตาลลงเท่านั้น เด็กบางคนในการทดลองบอกว่ารู้สึกว่าได้รับปริมาณอาหารมากกว่าเดิม 
คุณ Robert Lusting  นักวิจัยชี้ว่าผลการศึกษานี้ได้ผลที่น่าพอใจมาก เด็กๆ ในการทดลองมีระดับความดันโลหิตลดลง ระดับไขมันในเส้นเลือดต่ำลงและการทำงานของตับดีขึ้น 
เขากล่าวว่าปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่เกิดจากความบกพร่องของระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายเริ่มดีขึ้น เพียงแค่ทดแทนน้ำตาลในอาหารแปรรูปด้วยคาร์โบไฮเดรต โดยไม่ต้องลดน้ำหนักตัวหรือออกกำลังกายแต่อย่างใด 
ทีมนักวิจัยชี้ว่าการศึกษานี้เเสดงให้เห็นว่า แคลอรี่ไม่ใช่ตัวสร้างปัญหาสุขภาพ แต่แหล่งที่มาของแคลอรี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ
และการศึกษานี้ชี้ว่าแคลอรี่ที่มาจากน้ำตาลสร้างผลเสียต่อสุขภาพมากที่สุด เพราะจะถูกแปลงเป็นไขมันในตับ นำไปสู่อาการต้านอินซูลินและกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคตับตามมา
ที่มา : http://www.voathai.com/content/kids-sugar-tk/3074539.html

โรคอ้วนทำให้ชาวอเมริกันใช้ยาตามใบสั่งแพทย์มากขึ้น

โรคอ้วนทำให้ชาวอเมริกันใช้ยาตามใบสั่งแพทย์มากขึ้น

ผลการศึกษาชิ้นใหม่ชี้ว่าคนอเมริกันใช้ยาตามใบสั่งแพทย์มากขึ้นกว่าในอดีตเพื่อบำบัดโรคต่างๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากโรคอ้วน

Obesity

ผลการศึกษาชิ้นล่าสุดชี้ว่าชาวอเมริกันในปัจจุบันใช้ยาตามใบสั่งแพทย์กันมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพื่อบำบัดโรคหลายโรครวมทั้งเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นโรคที่เราสามารถป้องกันได้
Dr. Elizabeth Kantor ผู้เชี่ยวชาญแห่ง Sloan-Kettering Memorial Cancer Center กล่าวว่าการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์เพื่อบำบัดโรคเหล่านี้สูงมาก ในกลุ่มคนอเมริกันที่อายุสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 
แต่การวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการใช้ยารักษาโรคที่มากับโรคอ้วนตามใบสั่งแพทย์ในกลุ่มคนอเมริกันอายุน้อยโดยเริ่มตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปอีกด้วย และผลที่ได้ออกมาคล้ายคลึงกัน
Dr. Elizabeth Kantor ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การศึกษาพบว่ามีการใช้ยาควบคุมความดันเลือด เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือด โรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นทั้งหมด และยาที่ใช้กันทั่วไปที่สุดคือยาประเภท statin ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการอาการเส้นเลือดในสมองแตก หัวใจวายและโรคที่เกิดกับหลอดเลือดและหัวใจ
การศึกษานี้พบว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเกือบ 8 เปอร์เซ็นต์กำลังใช้ยาชนิดนี้อยู่ในปัจจุบัน 
Dr. Elizabeth Kantor กล่าวว่าเมื่อศึกษายาที่ใช้กันทั่วไปอย่างน้อย 10 ชนิดในปี ค.ศ. 2011-2012 พบว่าคนอเมริกันใช้ยาเหล่านี้เพื่อบำบัดอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดและหัวใจเช่นเดียวกับโรคอื่นๆ ที่นำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ 
ทีมวิจัยยังพบด้วยว่า จำนวนคนอเมริกันที่ต้องใช้ยาหลายตัวเพื่อบำบัดอาการต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในระยะเวลา 10 ปี ในการศึกษานี้ นักวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยจำนวนมากเป็นเวลานานสองปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 - 2000 และจากปี ค.ศ. 2011 -  2012
การศึกษานี้จัดทำโดยทีมนักวิจัยที่วิทยาลัยการแพทย์มหาวิทยาลัย Harvard และตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American Medical Association ไปเมื่อเร็วๆ นี้
ที่มา : http://www.voathai.com/content/health-us-rx-drugs-obesity-tk/3066274.html

งานวิจัยชี้คนมีห่วงยางรอบเอวอันตรายกว่าคนเป็นโรคอ้วน

งานวิจัยชี้คนมีห่วงยางรอบเอวอันตรายกว่าคนเป็นโรคอ้วน

เพราะว่าน้ำหนักตัวของคนประเภทนี้อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติ เลยไม่ค่อยจะอยากออกกำลังกายหรือรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ


รายงานการศึกษาที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา กล่าวว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ หรืออาจจะผอม แต่ไขมันไปรวมตัวอยู่รอบๆ เอว ทำให้เอวใหญ่กว่าสะโพก หรือจะว่ามียางอะไหล่อยู่ที่เอวนั้น มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนอื่นๆ รวมทั้งคนที่ถือว่ามีน้ำหนักตัวมากเกินขนาด หรือเป็นโรคอ้วน
คุณผู้ชายพุงใหญ่มีโอกาสจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจมากกว่าคนที่เป็นโรคอ้วนถึงสองเท่า ในขณะที่คุณผู้หญิงที่มียางอะไหล่รอบเอว มีโอกาสจะเสียชีวิตมากกว่าคุณผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนหนึ่งเท่าครึ่ง 
รายงานการศึกษาฉบับนี้ ซึ่งมีให้อ่านได้ในวารสาร Annals of Internal Medicine วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของคนประมาณ 15,000 คน
คุณหมอ Francisco Lopez-Jimenez แพทย์โรคหัวใจที่ Mayo Clinic ในเมือง Rochester รัฐ Minnesota เป็นนักวิจัยอาวุโสของทีมงานชุดนี้ ให้ความเห็นว่าคนที่มีขนาดร่างกายปกติ ยกเว้นส่วนกลาง หรือที่เรียกว่า central obesity มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง
คุณหมออธิบายว่า เพราะว่าน้ำหนักตัวของคนประเภทนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เลยไม่ต้องทำอะไร ไม่ค่อยจะอยากออกกำลังกาย หรือรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของ Mayo Clinic ผู้นี้กล่าวว่า ไขมันที่รวมตัวอยู่รอบเอวไปกดดันอวัยวะที่สำคัญๆ ทำให้อวัยวะเหล่านั้นต้องทำงานหนักมากขึ้น ในขณะที่ไขมันที่หน้าท้อง ทำให้การทำงานเผาผลาญอาหารไม่แข็งขันเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งหมายความว่าจะไม่แปรรูปน้ำตาล ทำให้อาจเป็นโรคเบาหวานได้ในที่สุด
ทางแก้ก็คือคุมน้ำหนักเพื่อให้ไขมันกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และออกกำลังกาย สร้างกล้ามเนื้อขึ้นตามขาและแขน เพราะว่ากล้ามเนื้อใช้น้ำตาล เมื่อมีมวลกล้ามเพิ่มขึ้น หมายความว่าน้ำตาลถูกใช้ไปมากขึ้นด้วย
ข้อเสนอแนะมาตรฐานสำหรับการรักษาสุขภาพในเวลานี้สำหรับผู้คนทั่วไป ไม่ว่าจะมีน้ำหนักตัวมากน้อยแค่ไหน
คือการออกกำลังกายระดับปานกลางจนถึงระดับเข้มสัปดาห์สามครั้ง!!!
ที่มา : http://www.voathai.com/content/spare-tire-mortality-nm/3056103.html

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา 

สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด

 หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ


ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงิน ถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น
หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการ ถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบ ในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีว ีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น
หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่
การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน
การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น  การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

ที่มา : http://www.siamhealth.net/public_html

ปี 2568 ไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2568 สธ.เร่งพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสม

/data/content/23525/cms/cdjnqrsw2379.jpg
          วันที่  19 มีนาคม ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค   นพ.ณรงค์   สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวภายหลังเปิดประชุมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลทั่วประเทศ  เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุ จัดโดยสมาคมแม่บ้านสาธารณสุขว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  โดยประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 64.5 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้น  9.4 ล้านคน  คิดเป็นร้อยละ 14.5 ของประชากร  โดยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน   คาดว่าภายใน ในปี 2568  ไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society)  จะมีประมาณ 14.4 ล้านคน  หรือเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด กล่าวคือจะมีผู้สูงอายุ 1 คน ในประชากรทุกๆ 5 คน
         นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ผลการศึกษาปัญหาการเจ็บป่วยจากการตรวจร่างกายของผู้สูงอายุไทยในปี 2552 โดยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ปรากฎว่ามีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 85 หรือประมาณ 6 ล้านคน ที่สามารถดูแลตนเองได้  และมีผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง ติดบ้าน ต้องพึ่งพิงคนอื่นช่วยดูแลกว่า 1 ล้านคนคิดเป็นเกือบร้อยละ 15  
        โดยมีประมาณ 960,000 คน ที่ช่วยเหลือตนเองได้บางส่วน  อีกประมาณ 63,000 คน ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย โรคเรื้อรัง 5 อันดับที่พบมากในผู้สูงอายุคือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน  โรคอ้วนลงพุง และโรคข้อเสื่อม   นอกจากนี้พบว่า มีผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 70 ที่สายตาไม่ดี  มองเห็นไม่ชัดเจน และเกือบครึ่งหนึ่ง มีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร  เนื่องจากเหลือฟันแท้ในปากไม่ถึง 20 ซี่ สร้าง ปลัด สธ. กล่าวอีกว่า   แนวโน้มผู้สูงอายุอยู่คนเดียวหรืออยู่ลำพังเพิ่มมากขึ้น 2 เท่าตัว จากร้อยละ 3.6 ในปี 2537 เป็นร้อยละ 7.6 ในปี 2550 จึงต้องเร่งพัฒนาระบบการดูแลที่เหมาะสม  โดยในปี 2557  สธ.ได้จัดสรรงบประมาณ 39 ล้านบาท พัฒนาระบบการดูแล 3  เรื่อง คือ
1.การตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เช่นโรคซึมเศร้า  โดยเน้นที่ระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)กว่า 8,000 แห่งร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)   ในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพผู้สูงอายุในหมู่บ้านชุมชน    สธ.ได้พัฒนาสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุคล้ายคู่มือการดูแลเด็กแรกเกิด  เพื่อดูแลอย่างต่อเนื่อง   อยู่ระหว่างการประเมินผล 
2.พัฒนาระบบบริการสุขภาพเชื่อมโยงจากสถานพยาบาลสู่ชุมชน  เช่นการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม การดูแลผู้สูงอายุติดเตียงที่บ้าน
3.ส่งเสริมให้ชุมชน ท้องถิ่นมีระบบการดูแลและส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ การสร้างตำบล/อำเภอสุขภาพดี 80 ปียังแจ๋ว   เป็นต้น 
         ที่มา : มติชนออนไลน์

ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเมื่อย่างสู่วัยสูงอายุ

  ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเมื่อย่างสู่วัยสูงอายุ

how to take care old people

วัยสูงอายุ

เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ สภาพร่างกายจะเห็นได้ว่าเสื่อมลงตามอายุขัย สภาพจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงง่าย ขี้หงุดหงิด มีความวิตกกังวล เนื่องจากการเจ็บป่วย หรือจากการเสื่อมของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยปกติร่างกายคนเราจะเริ่มมีการเสื่อมของอวัยวะตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพที่ดี และถูกสุขลักษณะตั้งแต่ต้น จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือปัญหาทางสุขภาพต่าง ๆ ที่มักเกิดขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยสูงอายุได้การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
ในผู้สูงอายุมักจะพบว่ามีความเสื่อมทางด้านระบบทางเดินอาหาร เนื่องมาจากปริมาณฟันที่มีน้อยลง ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ต่อมน้ำลายขับน้ำลายออกมาน้อย ไม่พอเพียงที่จะช่วยคลุกเคล้าอาหาร ประสาทกล้ามเนื้อที่ควบคุมการกลืนก็จะทำงานน้อยลง ทำให้กลืนอาหารได้ลำบาก นอกจากนี้ปริมาณน้ำย่อยต่าง ๆ ก็ลดลง ทำให้อาหารย่อยได้ไม่ดี มีอาการท้องอืด ตับและตับอ่อนเสื่อม นอกจานี้ระบบขับถ่ายอุจจาระในผู้สูงอายุมักจะเป็นไปตามปกติ เกิดท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวน้อยลง และไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจอารมณ์และจิตใจที่มีการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ อาจเกิดมาจากมีเวลาว่างมากเกินไป เพราะเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว จึงรู้สึกว่าตัวเองถูกลดคุณค่าลง ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวเริ่มมีน้อยลง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว และเศร้าซึม น อกจากนั้นยังอาจเป็นผลมาจากความเจ็บป่วย และการเสื่อมของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุมีอารมณ์ที่แปรปรวนง่าย ขี้หงุดหงิด ใจน้อย โกรธง่าย เป็นต้นปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุจากความเสื่อมทางด้านร่างกาย จิตใจ รวมถึงการดูแลสุขภาพที่อาจไม่เหมาะสม ทำให้ผู้สูงอายุมักเกิดปัญหาทางสุขภาพ หลาย ๆ โรคพร้อมกัน
โรคที่มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ มีทั้งโรคที่เกิดขึ้นทางร่างกาย และจากปัญหาทางจิตใจ ได้แก่
  1. โรคอ้วน
  2. โรคเบาหวาน
  3. โรคหัวใจขาดเลือด
  4. โรคความดันโลหิตสูง
  5. โรคไขมันในเลือดสูง
  6. โรคข้อเสื่อม
  7. โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องผูก
  8. โรคทางประสาทตา เช่น โรคต้อหิน ต้อกระจก
  9. โรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์
  10. อาการวิตกกังวล นอนไม่หลับ โรคอ้วน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โรคนี้มักนำมาซึ่งโรคอื่น ๆ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมกับโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค
อย่างไรก็ตามปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ก็คือ ปัญหาทุพโภชนาการ (ขาดสารอาหาร) ในผู้สูงอายุ ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีผลมาจากความเสื่อมทางด้านสรีระ โดยเฉพาะระบบการย่อย และดูดซึมอาหารของผู้สูงอายุเอง ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการดำรงชีวิต เช่น สภาพทางเศรษฐกิจด้วยลงกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือการพบปะสังสรรค์ทางสังคมน้อยลงก็ทำให้ผู้สูงอายุเกิดอารมณ์เศร้าซึม หรือแม้กระทั่งปัญหาการเบื่ออาหาร เนื่องจากรับรู้รสอาหารด้อยลง การเลือกรับประทานอาหารโดยไม่คำนึงถึงประเภทที่หลากหลาย และความครบถ้วนของสารอาหารที่ควรได้รับ หรือไม่ควรได้รับมากน้อยเกินไป
ปัญหาทุพโภชนาการ (ขาดสารอาหาร) ในผู้สูงอายุ ลักษณะการขาดสารอาหารที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ คือ น้ำหนักตัวน้อยอันเนื่องมาจากการเสื่อมถอยของระบบทางเดินอาหาร และย่อยอาหาร และการขาดวิตามินแร่ธาตุ ผู้สูงอายุมีโอกาสขาดวิตามิน และแร่ธาตุสูง ถ้าการบริโภคอาหารไม่เพียงพอ หรือไม่ครบถ้วนตามที่ร่ายกายต้องการ การขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดนั้นยังเกี่ยวพันกับการบริโภคโปรตีนไม่เพียงพอ หรือมีคุณภาพไม่ดีพออีกด้วย ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะขาดวิตามินแทบทุกชนิด ที่พบบ่อยคือการขาดวิตามินซี มักพบในรายที่รับประทานผักและผลไม้น้อย เป็นโรคโลหิตจางเนื่องมาจากการขาดธาตุเหล็ก และอีกโรคหนึ่งที่สำคัญที่มักพบโดยทั่วไปก็คือ โรคกระดูกพรุน อันเนื่องมาจากการขาดแคลเซียม และมีภาวะการขาดโปรตีน วิตามินดี และวิตามินซี ร่วมด้วย ดังนั้นการดูแลโภชนาการผู้สูงอายุที่ควรได้รับนั้นจึงมีความสำคัญ และต้องมีความครบถ้วนอย่างพอดีต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันทั้งปัญหาโรคอ้วน และปัญหาทุพโภชนาการที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ยังควรดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพใจของผู้สูงอายุให้แข็งแรงแจ่มใส ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพอเหมาะกับวัย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นดูแลรักษาร่างกายเป็นประจำ พบปะสังครรค์กับครอบครัว และผู้ใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอ หากิจกรรมยามว่างทำเพิ่มเติมและทำจิตใจให้เป็นสุข
อาหารการกินในวัยผู้สูงอายุผู้สูงอายุในที่นี้หมายถึงผู้ที่อยู่ในวัย 60 ปีขึ้นไป ซึ่งในปัจจุบัน เป็นปีที่จะเกษียณอายุของทางราชการ แต่ในอนาคตจะมีคนอายุ 60 ปี แต่ยังแข็งแรงทั้งสุขภาพกายสุขภาพจิต ความคิดความอ่าน การตัดสินใจยังดีอยู่ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้สูงอายุน่าที่จะขยับไปอยู่ที่วัย 65 ปีขึ้นไป สำหรับปัญหาเรื่องอาหารการกิน หรือโภชนาการในวัยนี้ มีข้อคิดอยู่ว่า ขอให้รับประทานอาหารให้ครบหมู่ และควบคุมปริมาณโดยดูจากการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากขึ้น และในกรณีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว ควรจะลดน้ำหนักให้ลงมาตามที่ควรเป็นด้วย เพราะโครงสร้างของท่านเสื่อมตามวัย ถ้ายังต้องแบกน้ำหนักมากๆ จะเป็นปัญหาได้
เครดิต: http://www.108health.com/108health/topicdetail.php?mtopicid=302&subid=6&refmain_id=2#ixzz2FkwYNP7k