ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

การแพทย์ทางร่วม เข้าถึงการป้องกันไม่ใช่รักษา แต่เข้าถึง กาย ใจ จิต ...

นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร คุณหมอนักค้น'จิต'

ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน

 เริ่มนำมาใช้ร่วมกับการแพทย์ทางร่วมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น โยคะ ชี่กง ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด สมาธิภาวนา ซึ่งคุณหมอได้ศึกษาและทดลองเรียนรู้ด้วยตนเอง จนมั่นใจว่าการแพทย์ทางร่วมและทางเลือก (Complementary and Alternative Medicine) เหล่านี้ คือคำตอบของการดูแลสุขภาพที่ใช้ต้นทุนไม่มากและไม่มีผลข้างเคียง

 เหตุผลเพราะตอนนี้การแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเราอิงกับตะวันตก ณ ขณะนี้อเมริกาคือเบอร์หนึ่ง ผมว่ามันถึงทางตัน แล้วประเทศเราค่อนข้างเสียเปรียบ ทุกอย่างที่อเมริกาวางมาเราเสียเงินหมดเลย แม้แต่ตอนนี้ตัวอเมริกาเองก็ติดหล่ม อเมริกาถือเป็นประเทศอันดับหนึ่งของการแพทย์แผนปัจจุบัน เขาใช้รายได้ถึง 17.6% ของจีดีพี เข้าไปในการบริการสาธารณสุข แต่สุขภาพของคนอเมริกันอยู่ระดับแย่ๆ นะครับ อันดับที่ 30 กว่า เพราะคนอเมริกานี่ป่วยเยอะ เทคโนโลยีมันไม่ได้ทำให้คนสุขภาพดี สังเกตมั้ยว่าการแพทย์เราเจริญขึ้น สิ่งที่เราพบคือคนอายุยืนขึ้น แต่เราเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น เราอายุยืนขึ้นแต่ทุพพลภาพเพิ่มมากขึ้น เหตุผลก็คือว่า คนที่เป็น active aging คือคนที่มีอายุเยอะแล้วช่วยเหลือตัวเองได้มันลดลง แต่ passive aging คือคนอายุเยอะแล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้กลับสูงขึ้น นั่นหมายความว่า เราอายุยืนขึ้นแต่คุณภาพชีวิตแย่ลง การแพทย์เราดีขึ้น แต่โรคมันรุมเร้าเรามากขึ้นกว่าเดิมซะอีก
ผมเองเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน พอศึกษามาถึงจุดหนึ่ง ผมคิดว่ามันไม่ตอบโจทย์ แล้วพอเห็นคนเจ็บป่วยเยอะๆ มากขึ้น ผมก็คิดว่ามันควรจะต้องมีทางออก การแพทย์ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่าการแพทย์ทางเลือก สำหรับผม ผมมองเป็นการแพทย์ทางร่วม คือเสริมเข้าไป ปรากฏว่าการแพทย์แผนปัจจุบันที่เรามีอยู่มันดีมากๆ ครับ มันดีในแง่พวกโรคเฉียบพลัน กระดูกหัก ไส้ติ่งอักเสบ หรือหัวใจวายเฉียบพลัน แต่โรคเรื้อรังไม่ดีหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน หัวใจขาดเลือด ความดัน ภูมิแพ้ หรือโรคกล้ามเนื้อกระดูกข้อต่อ แพทย์แผนปัจจุบันที่มีอยู่มันไม่ตอบโจทย์ ที่มันน่ากลัวมากๆ ก็คือว่า นอกจากภาวะแทรกซ้อนที่เราเจอจากการรักษา ค่าใช้จ่ายมันสูงขึ้น เพราะเราต้องพึ่งพาหลายอย่างจากต่างประเทศ
ผมคิดว่าการแพทย์ทางร่วม มันมีมาก่อนการแพทย์แผนปัจจุบันอีก เพราะวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มมาประมาณ 500 ปีนี่เอง แล้วการแพทย์แผนปัจจุบันจริงๆ เพิ่งเริ่มมาประมาณสัก 200-300 ปี ยาปฏิชีวนะเพิ่งมีมาประมาณ 90 ปีเท่านั้นเอง นั่นหมายความว่าการแพทย์แผนปัจจุบันมีมาไม่กี่ร้อยปี แต่การแพทย์ทางร่วมมีมาเป็นพันปี แล้วพวกนี้ผลข้างเคียงก็แทบไม่มีเลย แถมค่าใช้จ่ายต่ำมากๆ

สิ่งที่การแพทย์ทางร่วมเน้นมากๆ คือการป้องกัน ไม่ใช่การรักษา ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการแพทย์สายจิต การแพทย์สายพลังงาน การแพทย์ธรรมชาติบำบัด มันจะมาในแนวการป้องกันหมดเลย เพราะการป้องกันมันต้นทุนต่ำ เราทำด้วยตัวเองได้ ผลแทรกซ้อนแทบไม่มีเลย แต่เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันเป็นยุคของความเร่งรีบ เขาต้องการอะไรที่มัน instant ใส่แพ็คเกจมาอย่างดี ส่งมาให้เรียบร้อย แล้วหายเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะง่ายอย่างนั้น มันไม่มีหรอก มันต้องทำ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าการแพทย์ทางร่วมมีปัจจัยเหมือนๆ กันหมด อันที่หนึ่ง เน้นไปที่การป้องกันมากกว่าการรักษา สอง เน้นการดูแลตัวเอง เราเป็นแค่โค้ชเป็นคนบอก สาม คือเน้นในสิ่งที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ สี่ คือ เน้นไปหาสมุทัย หรือสาเหตุมากกว่าที่จะไปตัวโรค นี่คือหลักการที่มันรวมๆ กันมา ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ประชาชนทำได้เองจริงๆ

การดูแลสุขภาพไม่มีสูตรสำเร็จที่เป็นคำตอบเดียวสำหรับทุกคน โลกนี้มี 6-7 พันล้านคน ก็ 6-7 พันล้านแบบ ยีนก็ไม่เหมือนกัน ขนาดพี่น้องยังไม่เหมือนกันเลย สิ่งที่ประชาชนทำได้ก็คือหาความรู้แล้วเอาความรู้นั้นมาเปลี่ยนให้เป็นปัญญา ปัญญาคืออะไร คือการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเอง ...เป็นอย่างนี้นี่เอง เรารู้แล้ว... ซึ่งผมยึดสิ่งเหล่านี้มาตลอด ข้อสำคัญคือต้องลอง ต้องปฏิบัติ ต้องแลก ไม่ใช่บอกว่าไม่มีเวลา เหนื่อย ทำไม่ได้ เพราะถ้าไม่แลกก็ไม่มีทางจะรู้

ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองแล้ว เราก็สามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ถ้าเรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไปช่วยเหลือคนอื่น บางทีมันอาจจะพลาดไป แต่ถ้าเราช่วยตัวเองได้แล้วไม่ช่วยเหลือคนอื่น ความสุขมันก็แค่นิดเดียว ความสุขมันจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคนรอบข้างเรามีความสุข

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น