๒. มีกำลังสมองและเส้นประสาทดีมาก เช่น ชาวฮินดู มีนิสัยใจคอเยือกเย็น ไม่ดุร้าย กลางคืนอยู่ยาม วันหนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ทำให้ใจคอหงุดหงิด หรือเสียอนามัยประการใด พวกโยคีสามารถบังคับใจ ทรมานร่างกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น นั่งอยู่บนปลายตะปู หรือกำมือยกชูสูง ไม่เอาลงจนมือลีบ และเล็บทะลุออกทางหลังมือ เป็นต้น
๓. มีกำลังกายดี เช่น ชาวฮินดู ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น ชาวฮินดูโดยมาก ท่านจะแลเห็นรูปร่างล่ำสัน แข็งแรง ไม่สู้จะมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างใด ช้าง ม้า วัว ควาย กินแต่หญ้าและฟางแห้ง ยังสามารถลากเข็นล้อเกวียน และไถนาได้วันยังค่ำ แต่ถ้า เราจะสามารถจับเสือ และสิงโต ซึ่งกินแต่เลือดเนื้อของสัตว์ มาลองลากเข็นหรือไถนาดูบ้าง ก็คงจะไม่ทนทาน เพราะสัตว์กินเลือดเนื้อ เมื่อกินแล้วก็อ่อนเพลีย ขี้เกียจแม้แต่จะลุกเดิน ท่านจงสังเกตดูว่า ข้าวปลาอาหาร เงินทอง ตึกรามบ้านช่อง และกำลังของโรงงาน เครื่องจักรต่างๆ ก็เนื่องมาจาก กำลังของสัตว์ที่กินผักหญ้า เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า เหล่านี้ เป็นผู้ชักลากให้ทั้งสิ้น
๔. ใจคอสุภาพไม่ดุร้าย ขอให้ท่านเปรียบดู ในระหว่างแขกฮินดู กับแขกบางชาติว่า จะมีศีลธรรมผิดกันอย่างไร ชาวฮินดู เป็นชาติที่มีศีลธรรม และอนามัยดียิ่ง มาหลายพันปีแล้ว กับขอให้ท่านสังเกตดูต่อไป ในระหว่างสัตว์ที่กินสัตว์ กับสัตว์ที่กินผัก เช่น เสือ สิงโต เหยี่ยว อีกา ที่ชอบกินสัตว์ กับวัวควาย นกพิราบ นกเขา ที่กินแต่อาหารธรรมชาติ เราจะเห็นว่า จำพวกสัตว์ที่กินผัก มีอนามัยและศีลธรรม ผิดกับจำพวกสัตว์ที่กินสัตว์มาก เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ และคดีอาชญา อันร้ายแรงในโลกนี้ เกิดจากคนที่กินเนื้อสัตว์โดยมาก มนุษย์ยิ่งกินเนื้อสัตว์ ก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีเขตจำกัดว่า จะสิ้นสุดลงเพียงใด
๕. ถูกศีลธรรม ไม่เบียดเบียนเลือดเนื้อของผู้อื่น ความเมตตากรุณาของท่าน จะผลิดอกออกผล แตกกิ่งก้านสาขาบริบูรณ์ ได้ผลลัพธ์แก่สัตว์ทั้งหลายโดยเต็มที่ ก็เมื่อท่านเสพเฉพาะแต่อาหารธรรมชาติเท่านั้น
๖. ไม่เปลืองทรัพย์ เพราะอาหารธรรมชาติถูกกว่าเนื้อสัตว์ เราจะออมสตางค์ไว้เหลือทำบุญ และทำประโยชน์อื่นๆ ได้ปีละหลายๆ ร้อยบาททีเดียว
๗. ตัณหาราคะเบาบาง สัตว์ที่กินอาหารธรรมชาติต่างๆ มีความรู้สึกตัณหาราคะ เพียงหน้าเดียวในปี เฉพาะแต่เมื่อถึงฤดูจะแผ่เผ่าพันธุ์เท่านั้น เมื่อตั้งท้องแล้วก็หยุด ไม่ส้องเสพประเวณีต่อไปอีกเลย ส่วนมนุษย์ ไม่ค่อยจะมีข้อยกเว้นในสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ยิ่งกินสัตว์มาก ยิ่งมีตัณหาราคะมาก ไม่เป็นเมื่อ เป็นคราว เหมือนสัตว์ จนต้องมีฮาเร็ม และมีโรงหญิงนครโสเภณี เป็นเครื่องบำเรอกาม
๘. เมื่อเสพอาหารธรรมชาติครบ ๗ ปี ร่างกายเราจะบริสุทธิ์ ไม่มีเลือดเนื้อของผู้อื่น เท่ากับล้างป่าช้า ใหญ่โตที่สุดในโลก ซึ่งฝังซากศพของสัตว์ต่างๆ ไม่รู้จักเต็มสักที ให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่กลับฝังอาหารธรรมชาติต่างๆ ลงไปแทนที่ เพราะทางวิทยาศาสตร์ปรากฏว่า ร่างกายของมนุษย์ กว่าจะเปลี่ยนแปลงของเก่าหมด อยู่ในราว ๗ ปีเป็นประมาณ ตัวอย่างเช่น ท่านซื้อมีดมาเล่มหนึ่ง ๓ ปีแรกตัวมีดหัก ท่านเปลี่ยนใส่ใหม่ ต่อมาอีก ๒ ปีปลอกมีดเสีย เปลี่ยนใส่ใหม่ ต่อมาอีก ๒ ปี ด้ามมีดเสีย ท่านต้องเปลี่ยนด้ามใหม่ พอถ้วนกำหนดครบ ๗ ปี มีดเล่มนั้น กลายเป็นมีดเล่มใหม่ขึ้นอีกเล่มหนึ่งแล้ว หาใช่เล่มเก่าไม่ ร่างกายของมนุษย์เรา ก็เปลี่ยนแปลงด้วยประการฉะนี้ แต่ว่า เปลี่ยนแปลงโดยวิธีละเอียด และสุขุมกว่ากันมาก คือค่อยๆ เปลี่ยนออก ถ่ายออก ทางอุจจาระ ปัสสาวะ ทางหายใจ ทางเหงื่อ ทางขี้ไคล ค่อยเปลี่ยนค่อยไป ทีละเล็กละน้อย
๙. สมกับภูมิประเทศและศาสนา เพราะประเทศของเรา ถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเต็มไปด้วย ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ และเต็มพร้อมไปด้วย อาหารธรรมชาตินานาชนิด ผิดกับประเทศยุโรป ซึ่งขาดแคลนอาหารเหล่านี้
๑๐. เวลาดับชีพ ซึ่งเป็นเวลาจะเลี้ยวหัวงาน จะมีกำลังใจมั่นคง กล้าแข็งไปสู่สุคติ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ของสัตว์ใดๆ จะมาทวงเลือดเนื้อ และชีวิตของมัน ขอให้ท่านสังเกตดู คนที่ทำบาปกรรมไว้มากๆ เมื่อเวลาจะตาย มักจะมีลางร้ายมาบอกล่วงหน้า ให้รู้หนทางที่จะต้องไปสู่กรรม เช่น นักชนไก่ ก็เอาหัวแม่มือชนกันจนเลือดไหล เจ๊กฆ่าหมู ก็ร้องเหมือนหมู และหามีดจะเชือดคอตนเอง เป็นต้น
๑๑. เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที และเมตตากรุณา ต่อสัตว์ที่มีคุณบางจำพวก เช่น วัว ควาย ม้า ลา เป็นต้น ขอให้เราคิดดูบ้างว่า สมมุติว่า ตัวเรา ถูกนายใช้งานมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ถูกเฆี่ยน ถูกตี เหนื่อยยาก หิวข้าว หิวน้ำ ปวดหัวตัวร้อน และก็มิได้กระทำความผิดสิ่งใด แล้วยังต้องถูกฆ่า เอาเลือดเนื้อของเรา ให้นายเรากินอีก แล้วเรา จะรู้สึกอย่างไรบ้าง หรือเราจะเถียงว่า เราไม่ใช่ควาย แต่ควายก็เป็นสัตว์สี่เท้าเลี้ยงลูกด้วยนม เกิดร่วมโลก โลกเดียวกับเราเหมือนกัน ขอให้เอาอกเขา มาใส่อกเราดูบ้าง เราจะไม่มีหนทางช่วยเหลือได้อย่างอื่น นอกจากไม่กินเนื้อมันเท่านั้น
๑๒. รสชาติของอาหารธรรมชาติ ไม่เฉียบแหลมสดคาวเหมือนเนื้อสัตว์ เวลาจะรับประทาน จะไม่จุเกินไป กระเพาะอาหาร และลำไส้จะไม่ต้องทำงานเหลือบ่ากว่าแรง อาหารที่มีรสเฉียบแหลม หรือปรุงโดยวิธีต่างๆ จนเกินไป คุณสมบัติของอาหารนั้นย่อมเสื่อมทราม เช่น ข้าวโรงสีไฟ ซึ่งขัดสีจนปลอกนอก ซึ่งเป็นชั้นสำคัญหมดไป หรือของที่ทำให้สุกหลายๆ หนถูกความร้อนมากเกินไป เป็นต้น
๑๓. การรับประทานอาหารธรรมชาติ เรียกได้ว่า ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า คือในโลกนี้ก็ไม่ค่อยเกิดโรคภัย ในโลกหน้า ถ้าเผื่อบุญกรรมนรกสวรรค์มีจริงๆ เข้า เราจะต้องใช้หนี้สัตว์ หรือลำบากยากแค้นอย่างไรก็ไม่รู้ กันไว้ดีกว่าแก้
๑๔. การเสพอาหารธรรมชาติ จะไม่มีก้างปลา หรือกระดูกสัตว์ติดคอ ให้เป็นอันตรายได้ ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ คงเคยก้างติดคอมาแล้ว ซึ่งไม่สู้จะสนุกนัก อาหารธรรมชาติ จึงเหมาะแก่ท่านนักบุญบางท่าน ที่ชอบฉันจังหันโดยวิธีสำรวม เช่น สมเด็จพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๑๕. การเสพอาหารธรรมชาติ ไม่เป็นการแสลงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ท่านคงจะเห็นพวกแพทย์แผนโบราณ ห้ามคนไข้ไม่ให้กินสัตว์ ๔ เท้า ๒ เท้า อาหารธรรมชาติ ไม่มีเชื้อโรคร้าย และไม่เป็นโรคระบาดต่างๆ เช่น เพล็ก อหิวาต์ วัณโรค และโรคเรื้อน เป็นต้น ซึ่งผิดกับเนื้อสัตว์ ที่น่ากลัวอันตรายยิ่งนัก
๑๖. ไม่มีภัยอันตรายอย่างใด ที่จะเกิดขึ้น จากการไปจับสัตว์ หรือฆ่าสัตว์มาเป็นอาหาร ท่านคงจะเคยเห็นพวกยิงเนื้อยิงกันเอง และพวกหาปลาถูกงูกัดตายบ่อยๆ
๑๗. ร่างกายและเลือดเนื้อ ของคนที่กินอาหารธรรมชาติ ย่อมคงทนต่อโรคภัยไข้เจ็บ ดีกว่าร่างกายและเลือดเนื้อ ของคนที่กินเนื้อสัตว์ ขอให้ท่านสังเกตดูกำลังของช้าง ม้า วัว ควาย กับเสือหรือสิงโต เป็นต้น
๑๘. วิธีที่จะทำให้จิตใจ และร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรจะดีเท่าการเสพอาหารธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลดียิ่งนัก
'''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น