ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิ่งเหยาะๆ ทำให้อายุยืนกว่าวิ่งเร็วๆ จริงหรือไม่? ควรวิ่งนานแค่ไหน? งานวิจัยในเดนมาร์กมีคำตอบ

นักวิจัยเดนมาร์กพยายามศึกษาหาคำตอบว่า การวิ่งที่เหมาะสมที่สุดนั้นควรช้าหรือเร็วแค่ไหน? 
นานเท่าไร?



การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เป็นทางเลือกยอดนิยมที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเผาผลาญแคลอรี่และมีร่างกายแข็งแรง มีอายุยืนยาว แต่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าการวิ่งที่เหมาะสมที่สุดนั้น ควรช้าหรือเร็วแค่ไหน นานเท่าไร ซึ่งนักวิจัยเดนมาร์กพยายามศึกษาหาคำตอบเรื่องนี้
รายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American College of Cardiology รวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างชายหญิงวัยผู้ใหญ่ 1,098 คน ซึ่งวิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอ ภายใต้โครงการศึกษา Copenhagen City Heart Study โดยได้ศึกษาข้อมูลความถี่ในการวิ่ง ระยะทาง เวลาที่ใช้ และอัตราเร่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ 2001 จากนั้นนำข้อมูลไปเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย 3,950 คน
จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าคนที่วิ่งเป็นประจำแม้จะวิ่งเหยาะๆ จะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่ได้วิ่งเลย แต่ที่น่าแปลกใจคือคนที่วิ่งเหยาะๆ กลับมีอายุยืนกว่าคนที่วิ่งเร็วด้วย โดยรายงานพบว่าคนที่วิ่งเร็วกับไม่ได้วิ่งเลยนั้น มีอายุเฉลี่ยพอๆ กัน
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า ระยะเวลาการวิ่งที่ทำให้อายุยืนยาวที่สุด คือการวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 1 ชม. – 2 ชม.ครึ่ง ต่อสัปดาห์ แต่รายงานมิได้ระบุเจาะจงว่าการวิ่งช้าหรือเหยาะๆ นั้นคือกี่นาทีต่อกิโลเมตร เพียงแต่แบ่งเป็น 3 ระดับ คือวิ่งช้า วิ่งปกติ และวิ่งเร็ว แล้วให้กลุ่มตัวอย่างระบุเองว่าลักษณะการวิ่งของพวกเขาเป็นแบบไหน
นักวิจัย Jacob Louis Marott ผู้นำการวิจัยครั้งนี้บอกว่า การวิ่งด้วยอัตราที่เร็วเกินไปนั้นอาจไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความยืนยาวของชีวิต ซึ่งอาจเป็นเพราะการออกกำลังกายอย่างหนักบ่อยๆอาจสร้างผลเสียต่อกล้ามเนื้อหัวใจได้
อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นโต้แย้งอยู่บ้าง หนึ่งคือจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ชอบวิ่งเร็วๆบ่อยๆในการทดลองครั้งนี้ยังน้อยเกินไป สองคือนักวิจัยเดนมาร์กมิได้ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตของกลุ่มตัวอย่างนักวิ่งเหล่านั้นไว้ชัดเจน   
รายงานจาก New York Times / เรียบเรียงโดยทรงพจน์ สุภาผล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น