ค้นหาบล็อกนี้

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดื่มชา (ไม่)ดีต่อสุขภาพอย่างไร ?



เครื่องดื่มยอดฮิตของคนรักสุขภาพในเมืองไทยในระยะ ๓ – ๔ ปีมานี้ ดูแล้วยังไม่มีใครแซง “เครื่องดื่มชา” ทั้งชาเขียว ชาดำ ชาแดง ชาขาว ชานานาชนิด และยังมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบใบชาแห้งชงน้ำแบบดั้งเดิม ชาผงอินสแตนท์ ชาขวดพร้อมดื่ม ชาบรรจุกล่องเหมือนนม UHT รู้หรือไม่ว่าธุรกิจชาพร้อมดื่มมูลค่าปีละนับหมื่นล้านบาท !
เหตุที่ยิ่งขายยิ่งมีคนหันมาดื่มมากขึ้นเพราะกระแสสรรพคุณของใบชานี่เอง ทั้งๆที่มีข้อมูลเรื่องประโยชน์จากชามานานกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว แต่ไม่เร้าใจเท่าระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา เมื่อผลการศึกษาพบว่า ชามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นหรือต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็งหรือลดความเสี่ยงของมะเร็ง ยังมีสรรพคุณที่คนสมัยนี้ชอบมากคือ ลดไขมันและน้ำตาลในเลือด ยังลดการอักเสบ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปากช่วยให้ปากสะอาดไร้กลิ่น
สรรพคุณโดนใจขนาดนี้ เป็นที่หมายปองของคนประเภทกินไม่ยั้ง กินไม่เหมาะสม และยังไม่ชอบออกกำลังกาย คนกลุ่มนี้มักหาอะไรก็ได้กินดื่มหลังอาหารรวดเดียวเพื่อเป็นยาแก้ได้สารพัดนึก ทำให้เครื่องดื่มชาจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วนั่นเอง และเพราะการดื่มชาไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมในวัฒนธรรมของชาวเอเชีย คนไทยจึงรับการดื่มชาได้ง่าย
ในใบชามีสารประกอบหลายชนิด ที่พูดถึงกับมาก คือ สารกลุ่มโพลีฟีนอล (polyphenols) และที่อ้างอิงบ่อยๆ ซึ่งเป็นสารในกลุ่มนี้ ชื่อว่า สาร epigallocatechin-3-gallate (EGCG) และสาร epicatechin 3-gallate (EGC) ที่พบส่วนใหญ่ในชาเขียว และสาร theaflavin-3,3 –digallate จะพบมากในชาดำ สารเหล่านี้มีคุณสมบัติหลักทำหน้าที่ต้านออกซิเดชั่น จึงลดความเสี่ยงหรือลดความรุนแรงของโรค มีงานวิจัยอธิบายว่า สารต้านออกซิเดชั่นช่วยยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน (fat oxidation) จึงลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว (antherosclerosis) และลดการเกิดโรคหัวใจในที่สุด
ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันพบว่า สารอาหารชนิดอื่นก็มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระหรือต้านออกซิเดชั่นได้ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี และวิตามินซี แต่เมื่อจับคู่เปรียบเทียบกันพบว่า คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโพลีฟีนอลในชาเขียวจะโดดเด่นกว่าสารชนิดอื่น จึงทำให้ชาเขียวขายดิบขายดีนั่นเอง


ในใบชายังมีสารแคททีชิน(Catechin)สูง ซึ่งเป็นสารช่วยในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมัน จึงมีการนำมาแนะนำให้ดื่มเพื่อการลดน้ำหนักตัว ลองนึกดูสรรพคุณแบบนี้ยิ่งทำให้ผู้คนหันมาดื่มชามากยิ่งขึ้น ซึ่งควรทำความเข้าใจตรงกันว่า การจะได้สรรพคุณหรือรับประโยชน์จากการดื่มชา เพื่อได้รับสารต้านออกซิเดชั่น และสารแคททีนเพื่อให้ร่างกายมีการเผาผลาญมากขึ้นนั้น จำเป็นต้องดื่มชาอุ่นๆ วันละ ๑๐ – ๑๒ ถ้วย ถึงจะได้สารกลุ่ม โพลีฟีนอล (polyphenols) ออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ หรือมีการแนะนำเบื้องต้นว่า ควรดื่มอย่างน้อย ๔-๕ ถ้วยต่อวันเพื่อบำรุงสุขภาพ แต่ให้รู้ไว้ด้วยว่า ชาแช่เย็นบรรจุขวดหรือกล่องที่ขายดีขายแพงนั้น ไม่เหลือสรรพคุณทางยาแต่อย่างใด มีแต่รส กลิ่น คาเฟอีน สารแทนนิน และน้ำตาลธรรมดาๆ เท่านั้น
แต่ไม่ควรลืมด้วยว่า ใบชานอกจากมีสารออกฤทธิ์เพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีคาเฟอีนและสารแทนนิน(รสฝาด) รวมอยู่ด้วย สารคาเฟอีนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ บางคนแพ้สารชนิดนี้ดื่มไปเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ โดยทั่วไปน้ำชา ๑ ถ้วย (ประมาณ ๑๗๐ ซีซี) มีสารคาเฟอีนอยู่ประมาณ ๒๕.๕ – ๓๔ มิลลิกรัม ถ้าดื่มน้ำชา ๑๐ – ๑๒ ถ้วยต่อวันจะได้รับสารคาเฟอีนจำนวนมากด้วย
และข้อมูลความรู้ที่ควรรับรู้ทั่วกันว่า ในน้ำชาและกาแฟ มีสารคาเฟอีน และมีสารแทนนิน ซึ่งสารทั้ง ๒ ชนิดนี้ มีผลทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบี และธาตุเหล็กลดลง
มีการศึกษาพบว่า กาแฟทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลงร้อยละ ๒๓-๖๐ ส่วนน้ำชาทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง ร้อยละ ๘๕-๘๘ สารที่ขัดขวางการดูดซึมคือ สารแทนนิน ซึ่งในชามีมากกว่ากาแฟ ในการศึกษายังพบด้วยว่า การดื่มนมไม่ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กเปลี่ยนแปลงพูดง่ายๆ ว่าเสมอตัว และที่น่าสนใจพบว่าการดื่มน้ำส้มกลับทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ดังนั้นดื่มชาครั้งต่อไปควรบีบมะนาวลงไปด้วย

นอกจากนี้ควรใส่ใจว่า สารแทนนินที่ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบีและธาตุเหล็กนั้น จะเพิ่มขึ้นมากเมื่อแช่หรือทิ้งใบชาไว้ในน้ำนานๆ ให้สังเกตว่าถ้ารสชาฝาดมากแสดงว่ามีสารแทนนินมาก จึงไม่ควรแช่ถุงหรือใบชานานเกินไป แต่โชคดีที่การลดการดูดซึมธาตุเหล็กของชานั้น มีผลเฉพาะธาตุเหล็กที่อยู่ในพืช แต่ไม่ส่งผลต่อธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์ ไข่ นม ฯลฯ ดังนั้นผู้รับประทานมังสวิรัติ จึงต้องระมัดระวังในการดื่มชา เพราะจะไปลดการได้รับธาตุเหล็กของร่างกาย และแน่นอนว่าสตรีตั้งครรภ์ และเด็กๆ ที่กำลังเติบโต มีความต้องการวิตามินบีและธาตุเหล็ก จึงไม่แนะนำให้ดื่มน้ำชากาแฟ
และมีข้อเตือนใจสำหรับคนที่อยากได้สรรพคุณดีๆ จากใบชา มีรายงานพบว่าคนที่มีสุภาพดีกินอาหารสมดุลอยู่แล้ว การดื่มชาไม่ส่งผลต่อสภาวะเหล็กในร่างกาย แต่คนที่สุขภาพย่ำแย่และมีภาวะเหล็กในร่างกายต่ำอยู่แล้ว ไม่ควรดื่มน้ำชากาแฟ รายงานนี้เตือนสติอีกประการว่า คนที่หวังดื่มชาเพื่อให้มีสารต้านออกซิเดชั่น เพื่อฟื้นฟูร่างกายมักเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดี ดังนั้นขณะที่อยากได้สารต้านอนุมูลอิสระก็ต้องระวังการลดการดูดซึมเหล็กในร่างกายด้วย
มีเคล็ดลับฝากไว้ ใครที่ยังอดใจทิ้งชาไม่ได้ เพราะติดสารคาเฟอีนเข้าแล้ว และก็เสียดายสรรพคุณดีๆ ในน้ำชา ขอให้หลีกเลี่ยงดื่มชาหลังอาหาร ควรดื่มหลังจากกินอาหารแล้ว ๒ ชั่วโมง และใครที่ดื่มวันละ ๓-๔ ถ้วย ก็ให้ดื่มแบบกระจายๆ อย่าเหมารวดเดียว คือเฉลี่ยดื่มระหว่างมื้ออาหาร เพื่อรอให้ร่างกายย่อยและดูดซึมวิตามินบีและธาตุเหล็กเสียก่อน ...ฉลาดดื่มชาอุ่นๆ รับลมหนาว ดีไหม ?

โดย กองบรรณาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย

พืชผักอายุสั้น กินแล้วอายุยืน



พืชผักที่เรา นำมากินมักเป็นพืชอายุสั้น แต่น่าแปลกที่พืชผักเหล่านี้กลับให้พลังชีวิต เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณสมุนไพรอย่างไม่น่าเชื่อ นักการเกษตรบางท่านอาจแย้งว่า พืชผักอีกหลายชนิดไม่ใช่พืชล้มลุกอายุสั้น แต่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น เป็นความจริงที่เถียงไม่ขึ้นแน่นอน แต่กำลังจะบอกกล่าวให้ได้คิด พืชผักสดอายุสั้นไม่เกินสามวันเจ็ดวันเหี่ยวเฉาเน่าหมด แต่เพราะอายุสั้นและสดนี่แหละคือของดีบำรุงชีวิตให้ยืนยาว
ลองดูพืชผักประเภทไม้ยืนต้น เช่น แค กระถิน ลิ้นฟ้าหรือเพกา ของดีรสอร่อย หรือผลมะกอก ยอดมะยม ลูกสะตอ ช่อสะเดา ขี้เหล็ก แค ขนุน ยอดอ่อนมะม่วง หรือเป็นผักพื้นบ้าน เช่น ผักหวานป่า(ที่เริ่มมีคนนำพันธุ์มาปลูกเป็นแปลงนำไปขายดิบขายดี) ผักติ้ว ผักเม็ก ยอดจวง ยอดจิก กุ่มบก กุ่มน้ำ และพืชผักจากไม้ต้นอีกหลายชนิดที่คนหนุ่มสาวยุคนี้ไม่มีโอกาสได้ลิ้นรส เป็นพืชผักพื้นบ้านรสชาติดีมีประโยชน์มาก
ตัวอย่างสรรพคุณของพืชผักไม้ ยืนต้น เพกา ฝัก อ่อนมีคุณสมบัติร้อนและมีรสขม กินขับลม และแก้หวัด ไอ หอบ หืด เมล็ดในฝักแก่มีคุณสมบัติเย็น ชาวจีนนำไปในเครื่องดื่มน้ำจับเลี้ยง แก้ร้อนใน แก้ไอ ขับเสมหะ มีรายงานการศึกษาพบว่า ฝักเพกามีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
พืชผักไม้เลื้อยไม้เถาที่น่า สนใจ มีทั้งพืชผักที่คุ้นเคย เช่น ตำลึง ถั่วพู ถั่วฝักยาว น้ำเต้า บวบ แตงกวา ยอดฟักทอง และที่เป็นพืชผักพืชบ้าน เช่น กระทกรก ถั่วแปบ ผักปลัง ฟักข้าว มะระขี้นก ฟักแม้ว ผักเชียงดาว และย่านาง ตัวอย่างสรรพคุณพืชผักกลุ่มนี้ ผักเชียงดาว ได้รับความสนใจมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยพบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จึงเป็นที่หมายปองของผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก มีการผลิตเป็นแคปซูล และชาวญี่ปุ่นนำเข้าผักเชียงดาวของไทยไปทำเป็นชาชงดื่มเพื่อลดน้ำตาลในเลือด ผักเชียงดาวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูงด้วย
พืชผักประเภทชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะหรือในที่ลุ่ม กินกันบ่อยๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด สายบัว(บัวสาย) บัวบก โสน และผักพื้นบ้าน เช่น ผักแว่น ผักกูด ผักเป็ด ผักหนาม เป็นต้น ตัวอย่างสรรพคุณพืชกลุ่มนี้ เช่น สายบัว เป็นพืชผักจากดอกสวยงาม กลิ่นชวนดม สายบัวมีรสเย็นชื่นใจ ช่วยดับร้อนแก้ไข้ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ยิ่งกินสดๆ กรอบอร่อยและเป็นพืชให้พลังงานต่ำ เหมาะแก่การควบคุมน้ำหนักตัว มีใยอาหารช่วยระบบขับถ่าย และภูมิปัญญาโบราณแนะนำให้สตรีหลังคลอดรับประทานเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนม
พืชผักที่กินราก และลำต้นใต้ดิน เช่น กระชาย กระทือ กระเจียว ขิง ขมิ้น หน่อไม้ และถั่วงอก เป็นต้น ตัวอย่างสรรพคุณพืชผักกลุ่มนี้ กระทือ เป็นไม้หัวเช่นเดียวกับขิง มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้เป็นยาบำรุงน้ำนม และช่วยแก้ไข้ได้ด้วย ส่วนที่นำมาปรุงอาหารใช้ได้ทั้งหัวกระทือ หน่อ อ่อน ช่อดอกอ่อน นำมาทำแกงเผ็ด แกงไตปลา และห่อหมกหัวกระทือ อาหารรสเด็ดจากถิ่นปักษ์ใต้ของไทยด้วย
และพืชผักที่มีอายุสั้น แต่ก็มีรสชาติเฉพาะและสรรพคุณดีไม่แพ้พืชผักชนิดอื่น เช่น ผักชี ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว(เทียนตาตั๊กแตน) ผักชีล้อม(ผักชีน้ำ) สะระแหน่ ใบชะพลู ผักแพว ผักแขยง ส้มกบ ผักขี้หูด ผักขม ขอยกตัวอย่าง ผักขมหรือผักโขม เป็นผักพื้นบ้านมหัศจรรย์ สามารถโตแข่งกับวัชพืชได้ ถ้าปลูกเอง ๑๕ วันได้กินแล้ว ปลุกก็ง่ายใช้เมล็ดหว่านเดียวก็ขึ้น ผักขมมีคุณค่าอาหารดีกว่าผักคะน้า โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุที่ผู้หญิงทุกคนต้องการมาก ในทางยาใบสดใช้รักษาแผลได้ ต้นใช้แก้ไอ รากใช้ขับพิษร้อน ขับปัสสาวะ
พืชผักมากมายที่กล่าว ถึงและที่ยังกล่าวถึงไม่หมดนั้น สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด แต่มีเมนูหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งน่าจะนำไปประชันกับผักสลัดของฝรั่งได้ สลัดแบบไทยๆ คือ อาหารประเภทยำผัก แต่ใส่น้ำสลัดรสชาติที่แตกต่างจากน้ำสลัดหรือ dressing ของฝรั่ง มีแม่ครัวไทยเขาถือหลักปรุงยำผักไทย โดยให้รสชาติของพืชผักหลายรสในจานเดียว ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ร้อน ฝาด ขม และยังมีกลิ่นหอมที่ได้จากพืชผักที่มีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ ใครได้ชิมแล้วเป็นต้องติดใจ เมนูนี้เข้าหลักทฤษฎีแพทย์แผนไทยที่กินอาหารสมุนไพรให้หลายหลายรสยา เป็นการรักษาสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยบำรุงสุขภาพนั่นเอง
จึงขอแบ่งปันเมนูผักสด อายุสั้น แต่กินแล้วอายุยืน ให้หาพืชผักอย่างน้อยดังนี้ ใบชะพลู ผักแพ้ว ใบบัวบก ใบโหระพา ผักแขยง ใบมะยม ใบมะดัน ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง ถั่วพลู ถั่วฝักยาว ผักกาดหอม กระชาย ขมิ้นขาว ขิง แครอท ผักติ้ว และผักพื้นบ้านอื่นๆ ตามฤดูกาล ถ้าได้ที่มีกลิ่นหอม กลิ่นฉุนมีรสเผ็ดร้อนยิ่งดี นำผักเหล่านี้มาซอยให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมาคลุกให้เข้ากัน จากนั้นให้ปรุงน้ำยำหรือน้ำสลัด โดยการเคี่ยวน้ำตาลปี๊บ ผสมกับน้ำส้มสายชู ถ้าให้รสชาติอร่อยให้ใส่เนื้อสัปปะรสลงไปเคี่ยวด้วย จะได้รสอมหวานอมเปรี้ยวแบบฉบับเฉพาะออกมา เครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้ในรสยำ คือ มะพร้าวคั่ว ปลาคั่วบดละเอียด งาขาวงาดำคั่วป่น นำไปโรยกับผักนับสิบๆ ชนิด และอาจบีบมะนาวคลุกเคล้าด้วย เมนูสลัดผักหรือยำผักเพื่อสุขภาพรสอร่อยก็พร้อมเสริ์ฟให้รับประทานได้ทันที
พืชผักให้คุณค่าทางโภชนาการ มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากได้กินยำผักให้หลากหลายชนิดสลับไปมา หรือพลิกแพลงตามรสที่ชอบหรือตามฤดูกาลของผัก กินให้ได้สัปดาห์ละ ๒-๓ มื้อ เป็นการช่วยปรับสมดุล เสริมคุณค่าและเพิ่มสรรพคุณสมุนไพรตามรสยา
พืชผักกินสดๆ รสโอชะ เป็นโอสถ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ยืนยาว

สุขภาพดีต้องมาก่อน

"อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
เพราะการมีสุขภาพที่ดีมีความสำคัญเป็นอันดับแรก ซึ่งมักจะมาคู่กับรูปโฉมโนมพรรณที่น่ามอง
และใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของผิวสวย สุขภาพดีกันทั้งน๊านนนน
แต่ละคนจึงพยายามหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองดูดีที่สุดในสายตาคนข้างกาย รวมถึงเริ่ดที่สุดกับสายตาผู้คนภายนอกด้วย
ก็แหม! หากสุขภาพกายไม่ดีก็จะพลอยทำให้สุขภาพใจย่ำแย่ไปด้วย เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ตลอด ก็คงจะไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปทำงาน หรือออกไปพบปะสังสรรค์กับใคร (เพื่อนไม่อยากคบ) แล้วมีวิธีไหนบ้างล่ะที่จะทำให้เรามีสุขภาพดี เป็นสาวพันปีตลอดกาลความจริงก็ไม่ใช่เรื่องลับซับซ้อนอะไร วันนี้แคนดี้ จะนำเคล็ดลับการมีสุขภาพดี ผิวสวย รวยเสน่ห์ มาฝากคุณๆ กัน
สุขภาพดีเริ่มจากอะไรบ้าง
1.การกินอย่างฉลาด 2.การแต่งเสริมเติมเสน่ห์ 3.การออกกำลังกาย 4.การพักผ่อนให้เพียงพอ 5.การบริโภคข่าวสารในเชิงบวก
การกินอย่างฉลาดเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้แคนดี้ก็เป็นคนนึงนะคะ ที่กินมันทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ค่อยได้ใส่ใจว่าจะมีประโยชน์หรือให้โทษยังงัยบ้าง ก็จะไม่ให้กินได้ยังงัยล่ะ อาหารแต่ละอย่างหน้าตามันน่ากินทั้งน๊านนน พอเห็นอะไรก็น้ำลายหกไปหมด ไม่ว่าถูกหรือแพง แคนดี้เป็นต้องซื้อมาลองชิมทุกทีไป กลัวจะเชยว่างั้น
แต่ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น สุขภาพก็เริ่มแย่ พูดง่ายๆ คือ แคนดี้ยังไม่อยากให้ใครๆ มองว่า “แก่ง่ายตายช้า” ค่ะ เพราะคำนี้มันช่างโหดร้ายกับผู้หญิงสวยๆ อย่างเราซะจริงๆ
แคนดี้จึงต้องรีบหันกลับมาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเร่งด่วน ตั้งแต่เข้าฟิตเนส ไปนวดลดไขมันกระชับสัดส่วน กินอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และที่ขาดไม่ได้คือ ให้ความใส่ใจกับอาหารที่กินครบ 3 มื้อ แม้แต่อาหารว่างยังต้องใส่ใจลงไปด้วย หลังจากที่หันกลับมาตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่นาน คนรอบข้างเริ่มตั้งฉายาให้ใหม่ เรียกว่า ยัยแคนดี้ “แก่ช้าหน้าเด้ง” ถ้าคุณผู้อ่าน อยากจะเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่แบบแคนดี้แล้วก็ ต้องพยายามรู้จักเลือกกินกันหน่อย กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย กินแต่พอดีกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากไม่น้อยเกินไป ไม่ใช่กินมากจนไขมันล้นออกมาอ้วนเป็นหมู หรือกินน้อยจนผอมกลายเป็นโรคขาดสารอาหารไป สิ่งใดควรกินก็กิน สิ่งใดที่ไม่ควรกินก็อย่าดันทุรังกินมันเข้าไป เช่น อาหารที่มีข้อห้ามกับโรคต่างๆ อาหารที่ไม่แน่ใจว่าปนเปื้อนสารพิษหรือไม่ อาหารที่หมดอายุ สรุปง่ายๆ แม้แต่การกิน ก็ต้องเดินสายกลาง
เพราะทุกวันนี้ในอาหารที่เรากินนั้นมีสารพิษปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง สารเร่งสี หรือ ฮอร์โมนเร่งการเติบโตของสัตว์ ทุกครั้งทีเรากินอาหารเหล่านั้นเข้าไป เราก็จะได้รับสารพิษเข้าไปในร่างกายด้วย สารพิษพวกนี้เป็นอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคและความเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น โรคมะเร็ว เบาหวาน ความดัน ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนก็มีโอกาสเป็นกันได้ทั้งนั้นแหล่ะ ประมาณว่า "อร่อยปาก ลำบากกาย"
แต่แคนดี้ไม่ได้บอกให้คุณเลิกกินอาหารพวกนี้ไปเลยนะคะ
เพียงแต่ว่า...เมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะเกิดอนุมูลอิสระขึ้นมากมายในร่างกายเรา ก็ต้องรู้จักกินสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปด้วย

บำรุงสายตา

"ดวงตา" เป็นส่วนหนึ่งของประสาทรับรู้ทั้ง 5 หากปราศจากดวงตาเสียแล้ว โลกอันสดใสใบนี้ คงไม่มีความจำเป็นจะต้องปรุงแต่งอะไรอีก
เพราะหากไม่มีดวงตา คุณจะเห็นว่าฟ้าสวยได้อย่างไร
แม้แต่คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังสามารถบริจาคดวงตาให้กับคนที่อยู่ต่อ เพื่อจะได้ใช้ดวงตาคู่นั้นให้เกิดประโยชน์ได้อีก เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเห็นความสำคัญของอวัยวะคู่นี้แล้วใช่มั๊ยคะ
แล้วคุณที่ยังมีดวงตาอยู่ล่ะ วันนี้คุณดูแลสุขภาพตาของคุณดีพอแล้วหรือยัง
คุณทราบหรือไม่ว่า ดวงตาของคุณอ่อนล้าเพียงใด จากการใช้สายตาทำงานตลอดทั้งวัน
ดวงตาก็ต้องการการพักผ่อน และการบำรุง ไม่น้อยไปกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ ของคุณนั่นแหล่ะ รีบดูแลและบำรุงดวงตาของคุณเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีดวงตาคู่นี้ให้มองอีกต่อไป
สารอาหารที่จำเป็นสำหรับดวงตา
สารอาหารที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า มีความสัมพันธ์กับโรคตามีอยู่หลายตัวด้วยกันคือ วิตามินเอ วิตามินซี วิตารมินดี รวมถึงอาหารที่มีงานวิจัยอย่างกว้างขวางว่ามีประโยชน์กับดวงตาก็คือ ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin)
ลูทีนและซีแซนทีน เป็นสารธรรมชาติที่มีในพืชผักผลไม้หลายชนิด เป็นสารในตระกูลของสารแคโรทีนอยด์ และพบได้ในบริเวณดวงตา โดยเฉพาะตรงบริเวณเลนส์ตาและจอรับภาพตาในธรรมชาติ แม้จะมีแคโรทีนอยด์ มากกว่า 600 ชนิด แต่มีเพียงสาร 2 ชนิดนี้เท่านั้น ที่พบในจุดรับภาพของจอตา สารทั้งสองชนิดนี้จะทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย โดยการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงทำหน้าที่บำรุงตา ทำให้จอตาไม่เสื่อมเร็ว พืชผักที่มีสาร ลูทีนและซีแซนทีนโดยมากมักจะเป็นผลไม้ที่มีสีเหลือง และสีเขียวเข้ม เช่นข้าวโพด แครอท ฟักทอง ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขม เป็นต้น การบริโภคพืชผักที่มีลูทีนและซีแซนทีน หรือจะเลือกเป็นอาหารสุขภาพที่มีสารสำคัญสองอย่างนี้ คือ LZ vit ( เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวที่มีสารสำคัญทั้งลูทีนและซีแซนทีน) จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพของดวงตา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลายชนิด โดยเฉพาะ โรคต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม

มีวิธีการกินอย่างไร..ให้สุขภาพดี ?

อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันการเกิดโรคบางชนิดมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูปรส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ดอาหารสำเร็จรูป เบเกอร์รี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ฯลฯซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุคเพราะคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นจนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา



โดยมีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้

1.กินอาหารเช้าเป็นประจำมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อ ที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้วยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสีเช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้นอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามินโปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจนอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิตหรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์เป็นต้น

3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหารและกินเป็นประจำเพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกายทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่ายช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีตคุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้นเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตามควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัยเป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนเหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูงเป็นต้น

6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ซึ่งมีน้ำตาลสูงการดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่ายเพราะมีสารทริปโตแฟนทีช่วยให้ประสาทผ่อนคลายแต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัยควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกายและควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียมเป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดาแต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอลหรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามการกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหนหลักง่ายๆคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อแต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสมนอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใสและห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ

ThankYou
สมุนไพรดอทคอม

สารอาหารจากธรรมชาติ (Natural Nutrient)




ร่างกายมนุษย์เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ มีความสลับซับซ้อน มีระบบป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก มีการส่งสัญญาณเตือนเมื่อเริ่มเกิดความผิดปกติกับส่วนใดส่วนหนึ่งหรือระบบใดระบบหนึ่งของร่างกาย ธรรมชาติได้บรรจงสร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมาและสร้างได้อย่างดีเสียด้วย
หากเรามีความใส่ใจในสุขภาพของเราเอง รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอดีไม่หักโหมเกินไปและรู้จักดูแลรักษาสุขภาพบำรุงร่างกายให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอและถูกวิธีก็จะช่วยให้สภาพร่างกายยังคงอยู่กับเราไปได้อีกนานเท่านาน ไม่เกิดอาการป่วยหรือสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยก่อนวัยอันควรและยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย
นั่นคือรู้จักดูแลสุขภาพด้วยหลักสำคัญคือ กินอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ให้ครบทั้ง 5หมู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ รู้จักจัดตารางแบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายบ้างและควรทำให้เป็นกิจวัตรสม่ำเสมอ ตามด้วยการจัดเวลาพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและสิ่งสุดท้ายเป็นเรื่องของอารมณ์และจิตใจอย่าปล่อยให้อารมณ์เครียดเข้าครอบงำคุณ หาทางผ่อนคลายจิตใจให้สงบและปล่อยวางเสียบ้างจะได้มีหน้าตาที่ยิ้มแย้มสดชื่นแจ่มใสเป็นที่ชื่นตาชื่นใจแก่ผู้พบเห็น
หากเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาก็อาจต้องกินยาบ้าง แต่ยาแผนปัจจุบันมักประกอบด้วยสารเคมีที่อาจมีอันตรายต่อร่างกายเช่นผลข้างเคียงหรือสารเคมีตกค้างในร่างกาย ดังที่บอกไว้แล้วว่าร่างกายมนุษย์ได้ถูกธรรมชาติออกแบบมาอย่างดีแล้วหากรู้จักดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องโอกาสที่จะเจ็บป่วยจะเกิดได้น้อยมากหรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สามารถดูแลรักษาให้กลับคืนสู่ปกติได้ไม่ยาก สารอาหารต่างๆที่มีอยู่ในอาหารของมนุษย์นี่แหละสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาบรรเทาโรคที่วิเศษที่สุดแต่ต้องอาศัยความรู้เพื่อเลือกกินอาหารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
อาการเจ็บป่วยคือการทำงานที่บกพร่องของระบบต่างๆในร่างกาย ความบกพร่องนี้สามารถรักษาได้โดยการเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องนำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ สารอาหารที่ได้จากธรรมชาติมีข้อดีหลายอย่างเช่น ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายแก่ร่างกาย ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ในร่างกาย หากเป็นไปได้เมื่อเกิดการเจ็บป่วยควรใช้วิธีรักษาโดยใช้สารอาหารจากธรรมชาติให้ตรงกับความต้องการของร่างกายเพราะสารอาหารจากธรรมชาตินี่เองที่เป็นยารักษาโรคที่ดีและเหมาะกับร่างกายมนุษย์มากที่สุด.

ชีวจิต เพื่อสุขภาพ


ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์รวม( Holistic) คือผนวกรวมเอา " ชีว" ที่หมายถึง " กาย" รวมเข้ากับ " จิต" ที่หมายถึง " ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมาย และการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อ กายและใจทำงาน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Wholeness as Perfection)
การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มาจากธรรมชาติ หรือใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัยใหม่นานัปการ
แนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้ามกลับ เป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพ เกิดความสมดุล และกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ทำงานได้อย่าง เต็ม ประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จาก หลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไป
จึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ ก็ย่อมทำงาน ได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บ เกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ใช้ธรรมชาติเป็นยา
ใช้อาหารเป็นยา
ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน
แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic
Wholistic (Holistic)
Macrobiotics
แบบจีนและการฝังเข็ม
อายุรเวทและโยคะ
สมุนไพร
การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน
การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน)
โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด
การยืด ส่ง และดัน
Chiropractic
การรำตะบอง
แต่ก่อนจะถึงมือแพทย์ หรือลงมือรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกใดๆก็ตาม หนทางที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ตามแนวชีวจิต ก็คือการป้องกันสุขภาพไว้แต่ต้นมือ โดยให้สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตแต่ละวันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารชีวจิต การกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า แก้อาการอ่อนเพลียด้วย น้ำอาร์ซี ซึ่งมีส่วนผสมของกลูโคส DNA/RNA และวิตามินแร่ธาตุ จากธรรมชาติ การบริโภค น้ำเอนไซม์ ที่คั้นจากผักและผลไม้สดๆที่จะช่วยบำรุงระบบต่างๆของชีวิตให้ทำงานได้ดีขึ้น
รวมไปถึงการขจัดพิษ (TOXIN) ซึ่งเกิดจากเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม มลภาวะต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่จาก ความเครียดที่สะสมชีวิต ประจำวัน ให้บรรเทาเบาบางไปจากร่างกายด้วยการล้างพิษ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการทำ " ดีท็อกซ์" ( DETOXIFICATION) เมื่อพิษต่างๆ ลดลง ก็จะทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมไม่ให้เกิดการสะสมใหม่เพิ่มมากขึ้นอีก
ท้ายที่สุด อุดมการณ์ของชีวจิตหาใช่เรื่องที่ปฏิบัติได้ยากเย็นแต่อย่างใด สิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าหลักปฏิบัติทั้งปวง ล้วนแต่เป็นเรื่องของวิธีการคิด ซึ่งยืนอยู่บนหลักการ 5 ข้อ คือ ชีวิตที่ยึดเอาธรรมชาติเป็นหลัก , ชีวิตที่มีความพอดีและเรียบง่าย , ชีวิตที่เป็นไปเพื่อความเป็นเลิศ ของสุขภาพกาย-ใจ , ชีวิตที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและรักกันฉันพี่น้อง และ ชีวิตที่ดำเนินไปเพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ เพียงปฏิบัติได้ตามหลักการเหล่านี้ก็เท่ากับเข้าใจแนวคิดของชีวจิตอย่างถ่องแท้แล้ว

ที่มา :  www.kaaeru.com

คุณประโยชน์ของอาหารธรรมชาติ ในทัศนะของ น.พ. โกศล กันตะบุตร


  ๑. อายุยืน ไม่เกิดโรค เช่น ฟันผุ ท้องผูก ริดสีดวงงอก โรคผิวหนังต่างๆ โรคกระดูกอ่อน โรคโลหิตซึม โรคไส้เดือนและโรคอื่นๆ ที่ติดต่อจากสัตว์อีกหลายอย่าง
๒. มีกำลังสมองและเส้นประสาทดีมาก เช่น ชาวฮินดู มีนิสัยใจคอเยือกเย็น ไม่ดุร้าย กลางคืนอยู่ยาม วันหนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ทำให้ใจคอหงุดหงิด หรือเสียอนามัยประการใด พวกโยคีสามารถบังคับใจ ทรมานร่างกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น นั่งอยู่บนปลายตะปู หรือกำมือยกชูสูง ไม่เอาลงจนมือลีบ และเล็บทะลุออกทางหลังมือ เป็นต้น
๓. มีกำลังกายดี เช่น ชาวฮินดู ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น ชาวฮินดูโดยมาก ท่านจะแลเห็นรูปร่างล่ำสัน แข็งแรง ไม่สู้จะมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างใด ช้าง ม้า วัว ควาย กินแต่หญ้าและฟางแห้ง ยังสามารถลากเข็นล้อเกวียน และไถนาได้วันยังค่ำ แต่ถ้า เราจะสามารถจับเสือ และสิงโต ซึ่งกินแต่เลือดเนื้อของสัตว์ มาลองลากเข็นหรือไถนาดูบ้าง ก็คงจะไม่ทนทาน เพราะสัตว์กินเลือดเนื้อ เมื่อกินแล้วก็อ่อนเพลีย ขี้เกียจแม้แต่จะลุกเดิน ท่านจงสังเกตดูว่า ข้าวปลาอาหาร เงินทอง ตึกรามบ้านช่อง และกำลังของโรงงาน เครื่องจักรต่างๆ ก็เนื่องมาจาก กำลังของสัตว์ที่กินผักหญ้า เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า เหล่านี้ เป็นผู้ชักลากให้ทั้งสิ้น
๔. ใจคอสุภาพไม่ดุร้าย ขอให้ท่านเปรียบดู ในระหว่างแขกฮินดู กับแขกบางชาติว่า จะมีศีลธรรมผิดกันอย่างไร ชาวฮินดู เป็นชาติที่มีศีลธรรม และอนามัยดียิ่ง มาหลายพันปีแล้ว กับขอให้ท่านสังเกตดูต่อไป ในระหว่างสัตว์ที่กินสัตว์ กับสัตว์ที่กินผัก เช่น เสือ สิงโต เหยี่ยว อีกา ที่ชอบกินสัตว์ กับวัวควาย นกพิราบ นกเขา ที่กินแต่อาหารธรรมชาติ เราจะเห็นว่า จำพวกสัตว์ที่กินผัก มีอนามัยและศีลธรรม ผิดกับจำพวกสัตว์ที่กินสัตว์มาก เครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ และคดีอาชญา อันร้ายแรงในโลกนี้ เกิดจากคนที่กินเนื้อสัตว์โดยมาก มนุษย์ยิ่งกินเนื้อสัตว์ ก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีเขตจำกัดว่า จะสิ้นสุดลงเพียงใด
๕. ถูกศีลธรรม ไม่เบียดเบียนเลือดเนื้อของผู้อื่น ความเมตตากรุณาของท่าน จะผลิดอกออกผล แตกกิ่งก้านสาขาบริบูรณ์ ได้ผลลัพธ์แก่สัตว์ทั้งหลายโดยเต็มที่ ก็เมื่อท่านเสพเฉพาะแต่อาหารธรรมชาติเท่านั้น
๖. ไม่เปลืองทรัพย์ เพราะอาหารธรรมชาติถูกกว่าเนื้อสัตว์ เราจะออมสตางค์ไว้เหลือทำบุญ และทำประโยชน์อื่นๆ ได้ปีละหลายๆ ร้อยบาททีเดียว
๗. ตัณหาราคะเบาบาง สัตว์ที่กินอาหารธรรมชาติต่างๆ มีความรู้สึกตัณหาราคะ เพียงหน้าเดียวในปี เฉพาะแต่เมื่อถึงฤดูจะแผ่เผ่าพันธุ์เท่านั้น เมื่อตั้งท้องแล้วก็หยุด ไม่ส้องเสพประเวณีต่อไปอีกเลย ส่วนมนุษย์ ไม่ค่อยจะมีข้อยกเว้นในสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ยิ่งกินสัตว์มาก ยิ่งมีตัณหาราคะมาก ไม่เป็นเมื่อ เป็นคราว เหมือนสัตว์ จนต้องมีฮาเร็ม และมีโรงหญิงนครโสเภณี เป็นเครื่องบำเรอกาม
๘. เมื่อเสพอาหารธรรมชาติครบ ๗ ปี ร่างกายเราจะบริสุทธิ์ ไม่มีเลือดเนื้อของผู้อื่น เท่ากับล้างป่าช้า ใหญ่โตที่สุดในโลก ซึ่งฝังซากศพของสัตว์ต่างๆ ไม่รู้จักเต็มสักที ให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่กลับฝังอาหารธรรมชาติต่างๆ ลงไปแทนที่ เพราะทางวิทยาศาสตร์ปรากฏว่า ร่างกายของมนุษย์ กว่าจะเปลี่ยนแปลงของเก่าหมด อยู่ในราว ๗ ปีเป็นประมาณ ตัวอย่างเช่น ท่านซื้อมีดมาเล่มหนึ่ง ๓ ปีแรกตัวมีดหัก ท่านเปลี่ยนใส่ใหม่ ต่อมาอีก ๒ ปีปลอกมีดเสีย เปลี่ยนใส่ใหม่ ต่อมาอีก ๒ ปี ด้ามมีดเสีย ท่านต้องเปลี่ยนด้ามใหม่ พอถ้วนกำหนดครบ ๗ ปี มีดเล่มนั้น กลายเป็นมีดเล่มใหม่ขึ้นอีกเล่มหนึ่งแล้ว หาใช่เล่มเก่าไม่ ร่างกายของมนุษย์เรา ก็เปลี่ยนแปลงด้วยประการฉะนี้ แต่ว่า เปลี่ยนแปลงโดยวิธีละเอียด และสุขุมกว่ากันมาก คือค่อยๆ เปลี่ยนออก ถ่ายออก ทางอุจจาระ ปัสสาวะ ทางหายใจ ทางเหงื่อ ทางขี้ไคล ค่อยเปลี่ยนค่อยไป ทีละเล็กละน้อย
๙. สมกับภูมิประเทศและศาสนา เพราะประเทศของเรา ถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเต็มไปด้วย ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ และเต็มพร้อมไปด้วย อาหารธรรมชาตินานาชนิด ผิดกับประเทศยุโรป ซึ่งขาดแคลนอาหารเหล่านี้
๑๐. เวลาดับชีพ ซึ่งเป็นเวลาจะเลี้ยวหัวงาน จะมีกำลังใจมั่นคง กล้าแข็งไปสู่สุคติ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ของสัตว์ใดๆ จะมาทวงเลือดเนื้อ และชีวิตของมัน ขอให้ท่านสังเกตดู คนที่ทำบาปกรรมไว้มากๆ เมื่อเวลาจะตาย มักจะมีลางร้ายมาบอกล่วงหน้า ให้รู้หนทางที่จะต้องไปสู่กรรม เช่น นักชนไก่ ก็เอาหัวแม่มือชนกันจนเลือดไหล เจ๊กฆ่าหมู ก็ร้องเหมือนหมู และหามีดจะเชือดคอตนเอง เป็นต้น
๑๑. เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที และเมตตากรุณา ต่อสัตว์ที่มีคุณบางจำพวก เช่น วัว ควาย ม้า ลา เป็นต้น ขอให้เราคิดดูบ้างว่า สมมุติว่า ตัวเรา ถูกนายใช้งานมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ถูกเฆี่ยน ถูกตี เหนื่อยยาก หิวข้าว หิวน้ำ ปวดหัวตัวร้อน และก็มิได้กระทำความผิดสิ่งใด แล้วยังต้องถูกฆ่า เอาเลือดเนื้อของเรา ให้นายเรากินอีก แล้วเรา จะรู้สึกอย่างไรบ้าง หรือเราจะเถียงว่า เราไม่ใช่ควาย แต่ควายก็เป็นสัตว์สี่เท้าเลี้ยงลูกด้วยนม เกิดร่วมโลก โลกเดียวกับเราเหมือนกัน ขอให้เอาอกเขา มาใส่อกเราดูบ้าง เราจะไม่มีหนทางช่วยเหลือได้อย่างอื่น นอกจากไม่กินเนื้อมันเท่านั้น
๑๒. รสชาติของอาหารธรรมชาติ ไม่เฉียบแหลมสดคาวเหมือนเนื้อสัตว์ เวลาจะรับประทาน จะไม่จุเกินไป กระเพาะอาหาร และลำไส้จะไม่ต้องทำงานเหลือบ่ากว่าแรง อาหารที่มีรสเฉียบแหลม หรือปรุงโดยวิธีต่างๆ จนเกินไป คุณสมบัติของอาหารนั้นย่อมเสื่อมทราม เช่น ข้าวโรงสีไฟ ซึ่งขัดสีจนปลอกนอก ซึ่งเป็นชั้นสำคัญหมดไป หรือของที่ทำให้สุกหลายๆ หนถูกความร้อนมากเกินไป เป็นต้น
๑๓. การรับประทานอาหารธรรมชาติ เรียกได้ว่า ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า คือในโลกนี้ก็ไม่ค่อยเกิดโรคภัย ในโลกหน้า ถ้าเผื่อบุญกรรมนรกสวรรค์มีจริงๆ เข้า เราจะต้องใช้หนี้สัตว์ หรือลำบากยากแค้นอย่างไรก็ไม่รู้ กันไว้ดีกว่าแก้
๑๔. การเสพอาหารธรรมชาติ จะไม่มีก้างปลา หรือกระดูกสัตว์ติดคอ ให้เป็นอันตรายได้ ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ คงเคยก้างติดคอมาแล้ว ซึ่งไม่สู้จะสนุกนัก อาหารธรรมชาติ จึงเหมาะแก่ท่านนักบุญบางท่าน ที่ชอบฉันจังหันโดยวิธีสำรวม เช่น สมเด็จพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๑๕. การเสพอาหารธรรมชาติ ไม่เป็นการแสลงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ท่านคงจะเห็นพวกแพทย์แผนโบราณ ห้ามคนไข้ไม่ให้กินสัตว์ ๔ เท้า ๒ เท้า อาหารธรรมชาติ ไม่มีเชื้อโรคร้าย และไม่เป็นโรคระบาดต่างๆ เช่น เพล็ก อหิวาต์ วัณโรค และโรคเรื้อน เป็นต้น ซึ่งผิดกับเนื้อสัตว์ ที่น่ากลัวอันตรายยิ่งนัก
๑๖. ไม่มีภัยอันตรายอย่างใด ที่จะเกิดขึ้น จากการไปจับสัตว์ หรือฆ่าสัตว์มาเป็นอาหาร ท่านคงจะเคยเห็นพวกยิงเนื้อยิงกันเอง และพวกหาปลาถูกงูกัดตายบ่อยๆ
๑๗. ร่างกายและเลือดเนื้อ ของคนที่กินอาหารธรรมชาติ ย่อมคงทนต่อโรคภัยไข้เจ็บ ดีกว่าร่างกายและเลือดเนื้อ ของคนที่กินเนื้อสัตว์ ขอให้ท่านสังเกตดูกำลังของช้าง ม้า วัว ควาย กับเสือหรือสิงโต เป็นต้น
๑๘. วิธีที่จะทำให้จิตใจ และร่างกายสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรจะดีเท่าการเสพอาหารธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลดียิ่งนัก

           '''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''